วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ในทางที่เดินสวนกัน

ในทางที่เดินสวนกัน
ท่ามกลางผู้คนมากมายหลากหลายในระหว่างการเดินทางประจำวัน เราอาจจะเดินสวนทางกับคนรู้จัก กับเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันมา กับญาติพี่น้องที่ห่างหาย กับคนจากบ้านเก่าถิ่นเกิด หรือในระหว่างทางบนรถยนต์ที่นั่งรอสัญญาณไฟ ในระหว่างวิ่งไปมาบนท้องถนน อาจจะมีคนเคยคุย เคยวิ่งเล่นในวัยเด็ก เคยหยอกล้อหัวเราะด้วยกัน สวนทางกันไปมา แต่เรามองไม่เห็นเขาและเขาก็ไม่เห็นเรา หรืออาจจะเป็นเพราะความรีบเร่ง การแข่งขันแย่งชิงพื้นที่ เราจึงไม่มีเวลาที่จะละสายตาไปเพื่อสิ่งอื่น หรืออาจจะเป็นเพราะยุคที่มีเทคโนโลยีการสื่อสารที่รวดเร็ว ผู้คนจึงถูกกำหนดให้มีสายตาเพียงแค่เปลือกตาเลือกที่จะอยู่ในโลกหน้าจอ ขอคุยด้วยปลายนิ้ว ไม่ชินกับการสบตาหาความจริงใจ ในยุคที่ใครต่อใครบอกว่าเป็นยุคแห่งโลกกว้าง แต่...ผู้คนกับกักขังตัวเองในโลกแคบส่วนตัว สร้างโลกของตัวเองแล้วก็คิดเองว่า นี่คือโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล

ในยุคที่เราขาดแคลนน้ำใจและความเอาใจใส่ต่อกัน เราจึงไม่มีพื้นที่เหลือเพื่อกันและกัน เราจึงไม่เห็นความทุกข์ของคนรอบข้าง เราจึงไม่ใส่ใจในความระทมใจของคนคุ้นเคย เราจึงไม่ใส่ใจในความยากลำบากของคนอื่น ในยุคที่ผู้คนมัวแต่สร้างภาพให้ตัวเองดูดี ดูเก่ง เลิศล้ำในโลกเสมือนจริง สิงวิญญาณช่างภาพในทุกวินาที เห็นอะไรเป็นถ่าย เห็นคนเจ็บปวด เห็นคนลำบากยากเข็ญข้างหน้าก็ยังขอถ่ายเพื่อเอาไปแอบอ้างว่าเป็นนักบุญใจพระที่สวรรค์ส่งมาโปรด และอัพขึ้นสเตตัสเรียกยอดกดไลค์ และก็ภาคภูมิแบบปลอมๆ ปลอบประโลมเอาว่าเป็นที่ชื่นชมของทุกคน แต่ชีวิตจริง เรากลับเมินเฉยต่อคนใกล้ชิด ต่อญาติสนิทมิตรสหาย
ในยุคสมัยหนึ่งเราทักทายผู้คนที่เดินสวนไปมาได้อย่างสนิทใจ มายุคนี้เราทักทายผู้คนด้วยตัวสติกเกอร์แล้วชะเง้อดูว่าเค้าจะอ่านแล้วตอบกลับมาหรือเปล่า ในยุคสมัยหนึ่งเรารู้จักกันทั้งหมู่บ้านลูกเด็กเล็กแดงจนถึงคนแก่ชรา เราเป็นห่วงเป็นใยว่ากล่าวตักเตือนและน้อมรับการตักเตือนกันได้ มาวันนี้ไม่มีใครกล้าที่จะว่ากล่าวตักเตือนใคร และเราก็มิอาจจะรับได้ถ้ามีใครมาตักเตือนเรา ยุคสมัยเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยนไป แข็งกร้าวมากกว่าแข็งแกร่ง อ่อนแอมากกว่าอ่อนโยน เอาเปรียบมากกว่าจะที่เอาใจใส่ เรากำลังเดินสวนทางกับความเมตตาด้วยอัตตาที่มีมากล้นเกินไปหรือเปล่า คนยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ด้วยอำนาจ คนที่จะเป็นตำนานส่วนมากมาจากการมอบให้ผู้อื่นอย่างหมดจิตหมดใจ เมตตาที่หัวใจไม่ใช่เมตตาที่มาด้วยผลประโยชน์แลกเปลี่ยน

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ Northern Virginia หลายปีมาแล้ว ชายแก่คนหนึ่งนั่งหนาวสั่นและรอผู้ที่มีม้าจะข้ามแม่น้ำเพื่อจะขอติดหลังม้าไปด้วย มีผู้ขี่มาเพื่อข้ามแม่น้ำหลายคนแต่เขาก็ปล่อยให้คนเหล่านั้นผ่านไปทีละคน โดยไม่พยายามแม้แต่จะขอให้เขาช่วยเลย ที่สุด คนสุดท้ายที่ขี่ม้ามาถึง ชายชรามองไปที่ตาของชายคนนั้นแล้วพูดว่า
“คุณครับ คุณจะว่าอะไรมั้ยครับหากจะให้คนแก่ติดม้าข้ามฝั่งไปด้วย”
“แน่นอนครับ ขึ้นมาได้เลย”
เขาลงจากม้ามาช่วยคนแก่นั้นให้ขึ้นหลังมาได้ และเขาไม่เพียงแต่พาชายแก่ข้ามแม่น้ำเท่านั้น เขายังพาไปส่งถึงบ้านเพราะอยู่ห่างไปเพียง 2-3 ไมล์เท่านั้น ก่อนถึงบ้าน เขาถามชายชราว่า
“คุณครับ ผมสังเกตว่าคุณปล่อยให้หลายคนผ่านไปโดยไม่ขอให้เขาช่วยพาข้ามฝั่งเลย แต่พอผมมาถึง คุณกลับขอให้ช่วย ผมอยากรู้ว่าคุณรอคนสุดท้ายทำไม ในเมื่อมันหนาวถึงขนาดนี้และถ้าผมปฏิเสธที่จะช่วย คุณจะทำอย่างไร?
ชายชราตอบว่า “ผมอยู่แถวนี้มานานแล้ว ผมรู้จักผู้คนดี ผมเพียงมองเข้าไปในตาของพวกเขา ผมก็จะรู้ว่าเขาสนใจที่จะช่วยหรือไม่สนใจอะไรเลย ถามหรือขอให้พวกเขาช่วยก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่เมื่อผมมองเข้าไปในดวงตาของคุณ ผมเห็นความใจกว้างและความเมตตากรุณาอยู่ในนั้น ผมรู้ทันทีว่า จิตวิญาณที่อ่อนโยนของคุณจะเปิดรับโอกาสที่จะช่วยผมในเวลาที่ผมต้องการความช่วยเหลือ”
คำเหล่านี้ประทับใจชายคนนั้นมากเขาพูดว่า “ผมขอบคุณมากครับสำหรับสิ่งที่คุณพูดมา ขออย่าให้ผมยุ่งอยู่กับเรื่องราวของตนเองจนกระทั่งไม่มีแก่ใจจะช่วยเหลือผู้อื่นด้วยใจกว้างและใจเมตตากรุณาเลยนะครับ”
พูดเสร็จ Thomas Jefferson ก็ขี่ม้าของตนเองกลับไปที่ทำเนียบขาว (เขาคือประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 3 ดำรงตำแหน่งระหว่าง 4 มีนาคม ค.ศ. 1801 - 4 มีนาคม ค.ศ. 1809 และเป็นผู้ประพันธ์ “คำประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา” (Declaration of Independence) ของสหรัฐอเมริกา เขาคือหนึ่งในบุคคลที่น่ายกย่องที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
ทอมัส เจฟเฟอร์สันเป็น 1 ใน 4 ประธานาธิบดีสหรัฐที่รูปใบหน้าได้รับการสลักไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมานต์รัชมอร์ (Mount Rushmore) ใบหน้าของเขาปรากฏบนธนบัตรราคา 2 ดอลลาร์สหรัฐ และเหรียญนิกเกิล (5 เซน)


การเป็นผู้นำที่แท้จริงต้องมีจิตใจเมตตากรุณา สุภาพถ่อมตนและช่วยเหลือผู้คนด้วยใจกว้างและใจจริง แน่ล่ะ... เราไม่ใช่ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่คนที่มีอำนาจเหนือใคร เราเป็นเพียงคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่เราต้องเป็นผู้ที่มีหัวใจ สามารถทำสิ่งที่มีค่าด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักต้องรู้จักที่จะช่วยเหลือผู้อื่นมากกว่าการเป็นผู้ขอรับ ให้มากกว่าที่ต้องการ ใช่หรือไม่ ความรักและการเอาใจใส่ผู้อื่นนั้นมักจะแสดงออกทางสายตาได้ การเสแสร้งแกล้งทำว่าเอาใจใส่นั้น ไม่สามารถปกปิดใครได้ ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจเสมอ แล้ววันนี้วันที่เดินสวนทางกับผู้คนมากมาย วันที่เราเดินสวนทางกับคนคุ้นเคย เพื่อนสนิทมิตรสหาย เรามองกันด้วยสายตาแบบไหน ขอให้เราเป็นคนที่มองเห็นทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตด้วยสายตาแห่งความเมตตา ดังที่พระเจ้าทรงมองเราด้วยสายพระเนตรแห่งอาทรเสมอในทุกวันเวลา

ไม่มีความคิดเห็น: