วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

กำแพงแรงศรัทธา

กำแพงแรงศรัทธา
สิ่งหนึ่งที่จะขาดเสียมิได้ในการมาเยือนทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษ และการเข้ามายังสกอตแลนด์ นั่นคือ การเที่ยวชมเมืองและปราสาทโบราณ ซึ่งมีความยิ่งใหญ่และสวยงามอยู่มิใช่น้อย บางครั้งในขณะยืนมองปราสาทเหล่านั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าคนสมัยก่อนนั้นเขาสร้างสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรกัน ใช้เทคโนโลยีอะไรสร้าง สิ่งที่มีแน่ๆ นั่นคือศรัทธา ที่ทำให้เกิดความงดงามอลังการได้เช่นนี้ แม้ว่าจะอยู่ในสภาพภูมิอากาศที่เต็มไปด้วยความหนาวและสายลมที่พัดจัด ซึ่งก็มีกำแพงที่ช่วยป้องกันภัยจากธรรมชาติและภัยจากการรุกราน
  

ปราสาทเอดินเบอร่ะ Edinburgh Castle แต่คนไทยมักจะคุ้นว่าเมือง เอดินเบิร์ก (Edinburgh เอดินเบอร่ะ) ซึ่งเป็นการอ่านออกเสียงผิด เมืองนี้เป็นเมืองหลวงของประเทศสกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของสกอตแลนด์ เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยกลาง  ที่ตั้งของปราสาทเอดินเบอร่ะเป็นทำเลที่ได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในสมัยก่อน โดยรอบภูเขาถูกปรับพื้นที่เป็นคูเมืองเพื่อประโยชน์ในเชิงการทหาร รอบนอกเป็นที่ราบลดหลั่นเป็นขั้น ๆ กระจายออกโดยรอบ และมีฐานปืนใหญ่ที่มีศักยภาพสามารถที่จะยิงข้ามคูคลองในระยะไกลได้ ปราสาทเอดินเบอร่ะเป็นปราสาทที่เป็นสถานที่เปิดตัวของหนังสือเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ เนื่องจากมีลักษณะใกล้เคียงฉากเมืองแม่มดในท้องเรื่อง
ปราสาทลินคอล์น ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับมหาวิหารลินคอล์น มีกำแพงรอบปราสาทถือว่าเป็นกำแพงที่มีสภาพสมบูรณ์มากที่สุดในอังกฤษ สามารถเดินชมได้รอบปราสาท ถูกสร้างขึ้นในยุควิคตอเรีย ด้านในเป็นคุกกักขังนักโทษ มีสุสานฝังศพนักโทษที่เสียชีวิตลงด้วย  ยังมีอาคารที่เป็นศาลพิจารณาคดีใหญ่ๆ ในลินคอล์นMain County Court และยังใช้เป็นศาลอยู่จนถึงทุกวันนี้



สำหรับมหาวิหารลินคอล์น (Lincoln Cathedral) มีชื่อเป็นทางการว่า “The Cathedral Church of the Blessed Virgin Mary of Lincoln” หรือ “St. Mary's Cathedral” เป็นมหาวิหารสำคัญ มหาวิหารลินคอล์นแห่งนี้ถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกอยู่ 200 ปีแต่ยอดกลางมาหักลงเมื่อศตวรรษที่ 16 และมิได้สร้างใหม่จึงเสียตำแหน่ง มหาวิหารที่มีชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สมลักษณะสิ่งก่อสร้างที่ดี จอห์น รัสคินนักเขียนสมัยพระราชินีนาถวิคตอเรียบรรยายว่า “...มหาวิหารลินคอล์นเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นที่สำคัญที่สุดในอังกฤษ และมีคุณค่าเท่าสองมหาวิหารที่เรามี

อีกแห่งหนึ่งเป็นเมืองโบราณที่ถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงเมือง และมีวิหารที่งดงามเช่นกันนั่นคือ ยอร์ก (York)  นครยอร์กตั้งอยู่ในบริเวณแม่น้ำอูสและแม่น้ำฟอสส์ ยอร์กเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีบทบาทมาเกือบตลอด 2,000 ปีที่ก่อตั้งมา เมืองยอร์กก่อตั้งเป็นเมืองป้อมปราการเอบอราคุม (Eboracum) ในปี ค.ศ. 71 โดยโรมัน และได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงของบริทาเนียน้อย (Britannia Inferior) ระหว่างสมัยโรมันบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์เช่นจักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชมีส่วนเกี่ยวข้องกับเมือง จักรวรรดิโรมันทั้งหมดปกครองจากยอร์กเป็นเวลาสองปี โดยจักรพรรดิเซปตีมิอุส เซเวรุส (Septimius Severus) ระหว่างทางเรายังผ่านเมืองต่างๆ ในแต่ละเมืองก็จะมีลักษณะบ้านเมืองสิ่งปลูกสร้างเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละที่ไป ดูแล้วไม่ซ้ำหรือเหมือนกันเสียทีเดียว (ข้อมูล: วิกิพีเดีย)
สิ่งที่เห็นและได้เล่ามาให้ฟังในข้างต้นนั้น จะเห็นว่าแต่ละที่มักมีกำแพงเมืองหรือป้อมปราการอยู่ล้อมรอบตัวปราสาท เป็นเสมือนด่านหน้าที่ใช้ปกป้องตัวปราสาทราชวัง ระหว่างทางมีบ่อยครั้งที่นั่งคิดพิจารณาว่า ในตัวคนเราแต่ละคนที่มีความแตกต่างก็เช่นกัน มีไม่น้อยเลยที่เราชอบสร้างกำแพงมาเพื่อปกป้องตัวเองให้ปลอดภัย บางคนก็สร้างไว้สูงจนปิดบังความงามของจิตใจซึ่งเปรียบเหมือนปราสาทอันงดงาม จนไม่มีใครเห็นคุณค่า และก็เปื่อยเน่าไปในที่สุด บางคนมีกำแพงไม่สูงแต่กลับหนาตัน เป็นกำแพงแห่งการอวดรู้ กำแพงแห่งอคติ ก็ย่อมทำให้คุณค่าของความงามในชีวิตลดหายไปได้ มีไม่น้อยคนที่สร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อป้องกันภัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอกมาทำลายจิตใจให้สั่นคลอน สิ่งที่สำคัญของการดำเนินชีวิต ศูนย์รวมความงามของคนเราอยู่ที่จิตใจและจิตวิญญาณ เรามีศรัทธาที่จะพัฒนาศูนย์รวมนี้อย่างไรในชีวิต การป้องกันด้วยกำแพงก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่จะทำอย่างไรให้กำแพงนั้นมีทางเข้าออก มีทางเชื่อม ทางเดินเพื่อให้เราได้มอบความงาม ความดี นั้นออกมาสู่ผู้อื่นที่ผ่านพบด้วย นี่คือศรัทธาที่เราต้องสร้าง กำแพงมิใช่สิ่งที่ปกป้องศัตรูมาทำร้ายทำลาย แต่เราต้องใช้กำแพงแรงศรัทธาเป็นที่ป้องกันภัยจากคลื่นลมแรงให้ได้ด้วย




            ในยุคสมัยนี้เรามักใช้ชีวิตแบบตัวใครตัวมัน ไม่ค่อยจะพึ่งพาอาศัยกันสักเท่าไร หรือมักจะมีความระแวงระวังในปฏิสัมพันธ์ของกันและกัน เราจึงก่อกำแพงขึ้นทีละนิดๆ แบบไม่รู้ตัว เป็นกำแพงแห่งความยโส กำแพงแห่งการอวดดี ไม่มีทางเข้าทางออก และนับวันแต่ละคนก็แข่งกันสร้างให้สูง เพื่อหลีกเร้นจากคนภายนอก ดูเหมือนว่าโลกเราพัฒนามามากขึ้น แต่เราก็ยังไม่อาจจะรู้ว่าคนสมัยก่อนเขาสร้างสิ่งต่างๆ ให้สวยงามได้อย่างไร นั่นเป็นเพราะเราขาดศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขาดศรัทธาต่อชีวิตตัวเองและผู้คนรอบข้าง ความเมตตาอารีต่อกันมักกลายเป็นเครื่องต่อรองถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับกลับคืน คนเราเกิดเป็นทางเข้า ตายเป็นทางออก แต่ในระหว่างมีชีวิตเราเป็นหนทางให้กับใครได้เข้ามาสัมผัสความงามของชีวิตเราบ้าง มีใครได้ก้าวข้ามกำแพงที่เราสร้างขึ้นไว้สักกี่คน บนหนทางชีวิตที่แท้จริงแล้ว เราควรที่จะช่วยกันสร้างความงาม ช่วยกันปลูกความดีเพื่อเป็นเครื่องป้องกันภัยอันตรายจากสิ่งภายนอก มากกว่าการที่จะซ่อนเร้นสิ่งภายในไม่ให้ใครเข้าใกล้และมองเห็น ชีวิตเรามิได้ยืนยาวและยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่เราคิดไว้เลย

ไม่มีความคิดเห็น: