กำแพงแรงศรัทธา
สิ่งหนึ่งที่จะขาดเสียมิได้ในการมาเยือนทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษ
และการเข้ามายังสกอตแลนด์ นั่นคือ การเที่ยวชมเมืองและปราสาทโบราณ
ซึ่งมีความยิ่งใหญ่และสวยงามอยู่มิใช่น้อย
บางครั้งในขณะยืนมองปราสาทเหล่านั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าคนสมัยก่อนนั้นเขาสร้างสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรกัน
ใช้เทคโนโลยีอะไรสร้าง สิ่งที่มีแน่ๆ นั่นคือศรัทธา ที่ทำให้เกิดความงดงามอลังการได้เช่นนี้
แม้ว่าจะอยู่ในสภาพภูมิอากาศที่เต็มไปด้วยความหนาวและสายลมที่พัดจัด
ซึ่งก็มีกำแพงที่ช่วยป้องกันภัยจากธรรมชาติและภัยจากการรุกราน
ปราสาทเอดินเบอร่ะ
Edinburgh Castle แต่คนไทยมักจะคุ้นว่าเมือง เอดินเบิร์ก (Edinburgh เอดินเบอร่ะ)
ซึ่งเป็นการอ่านออกเสียงผิด เมืองนี้เป็นเมืองหลวงของประเทศสกอตแลนด์
สหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของสกอตแลนด์ เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยกลาง ที่ตั้งของปราสาทเอดินเบอร่ะเป็นทำเลที่ได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในสมัยก่อน
โดยรอบภูเขาถูกปรับพื้นที่เป็นคูเมืองเพื่อประโยชน์ในเชิงการทหาร
รอบนอกเป็นที่ราบลดหลั่นเป็นขั้น ๆ กระจายออกโดยรอบ และมีฐานปืนใหญ่ที่มีศักยภาพสามารถที่จะยิงข้ามคูคลองในระยะไกลได้
ปราสาทเอดินเบอร่ะเป็นปราสาทที่เป็นสถานที่เปิดตัวของหนังสือเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์
เนื่องจากมีลักษณะใกล้เคียงฉากเมืองแม่มดในท้องเรื่อง
ปราสาทลินคอล์น ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับมหาวิหารลินคอล์น
มีกำแพงรอบปราสาทถือว่าเป็นกำแพงที่มีสภาพสมบูรณ์มากที่สุดในอังกฤษ สามารถเดินชมได้รอบปราสาท
ถูกสร้างขึ้นในยุควิคตอเรีย ด้านในเป็นคุกกักขังนักโทษ
มีสุสานฝังศพนักโทษที่เสียชีวิตลงด้วย ยังมีอาคารที่เป็นศาลพิจารณาคดีใหญ่ๆ
ในลินคอล์นMain County
Court และยังใช้เป็นศาลอยู่จนถึงทุกวันนี้
สำหรับมหาวิหารลินคอล์น
(Lincoln Cathedral) มีชื่อเป็นทางการว่า “The Cathedral Church of the Blessed Virgin
Mary of Lincoln” หรือ “St. Mary's Cathedral” เป็นมหาวิหารสำคัญ มหาวิหารลินคอล์นแห่งนี้ถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกอยู่
200 ปีแต่ยอดกลางมาหักลงเมื่อศตวรรษที่ 16 และมิได้สร้างใหม่จึงเสียตำแหน่ง
มหาวิหารที่มีชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สมลักษณะสิ่งก่อสร้างที่ดี จอห์น
รัสคินนักเขียนสมัยพระราชินีนาถวิคตอเรียบรรยายว่า “...มหาวิหารลินคอล์นเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นที่สำคัญที่สุดในอังกฤษ
และมีคุณค่าเท่าสองมหาวิหารที่เรามี”
อีกแห่งหนึ่งเป็นเมืองโบราณที่ถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงเมือง
และมีวิหารที่งดงามเช่นกันนั่นคือ ยอร์ก (York) นครยอร์กตั้งอยู่ในบริเวณแม่น้ำอูสและแม่น้ำฟอสส์
ยอร์กเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีบทบาทมาเกือบตลอด 2,000
ปีที่ก่อตั้งมา เมืองยอร์กก่อตั้งเป็นเมืองป้อมปราการเอบอราคุม (Eboracum) ในปี ค.ศ. 71 โดยโรมัน และได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงของบริทาเนียน้อย (Britannia
Inferior) ระหว่างสมัยโรมันบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์เช่นจักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชมีส่วนเกี่ยวข้องกับเมือง
จักรวรรดิโรมันทั้งหมดปกครองจากยอร์กเป็นเวลาสองปี โดยจักรพรรดิเซปตีมิอุส เซเวรุส
(Septimius Severus) ระหว่างทางเรายังผ่านเมืองต่างๆ
ในแต่ละเมืองก็จะมีลักษณะบ้านเมืองสิ่งปลูกสร้างเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละที่ไป
ดูแล้วไม่ซ้ำหรือเหมือนกันเสียทีเดียว (ข้อมูล: วิกิพีเดีย)
สิ่งที่เห็นและได้เล่ามาให้ฟังในข้างต้นนั้น
จะเห็นว่าแต่ละที่มักมีกำแพงเมืองหรือป้อมปราการอยู่ล้อมรอบตัวปราสาท
เป็นเสมือนด่านหน้าที่ใช้ปกป้องตัวปราสาทราชวัง
ระหว่างทางมีบ่อยครั้งที่นั่งคิดพิจารณาว่า ในตัวคนเราแต่ละคนที่มีความแตกต่างก็เช่นกัน
มีไม่น้อยเลยที่เราชอบสร้างกำแพงมาเพื่อปกป้องตัวเองให้ปลอดภัย บางคนก็สร้างไว้สูงจนปิดบังความงามของจิตใจซึ่งเปรียบเหมือนปราสาทอันงดงาม
จนไม่มีใครเห็นคุณค่า และก็เปื่อยเน่าไปในที่สุด บางคนมีกำแพงไม่สูงแต่กลับหนาตัน
เป็นกำแพงแห่งการอวดรู้ กำแพงแห่งอคติ
ก็ย่อมทำให้คุณค่าของความงามในชีวิตลดหายไปได้ มีไม่น้อยคนที่สร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อป้องกันภัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอกมาทำลายจิตใจให้สั่นคลอน
สิ่งที่สำคัญของการดำเนินชีวิต
ศูนย์รวมความงามของคนเราอยู่ที่จิตใจและจิตวิญญาณ
เรามีศรัทธาที่จะพัฒนาศูนย์รวมนี้อย่างไรในชีวิต
การป้องกันด้วยกำแพงก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่จะทำอย่างไรให้กำแพงนั้นมีทางเข้าออก
มีทางเชื่อม ทางเดินเพื่อให้เราได้มอบความงาม ความดี นั้นออกมาสู่ผู้อื่นที่ผ่านพบด้วย
นี่คือศรัทธาที่เราต้องสร้าง กำแพงมิใช่สิ่งที่ปกป้องศัตรูมาทำร้ายทำลาย
แต่เราต้องใช้กำแพงแรงศรัทธาเป็นที่ป้องกันภัยจากคลื่นลมแรงให้ได้ด้วย
ในยุคสมัยนี้เรามักใช้ชีวิตแบบตัวใครตัวมัน ไม่ค่อยจะพึ่งพาอาศัยกันสักเท่าไร
หรือมักจะมีความระแวงระวังในปฏิสัมพันธ์ของกันและกัน เราจึงก่อกำแพงขึ้นทีละนิดๆ
แบบไม่รู้ตัว เป็นกำแพงแห่งความยโส กำแพงแห่งการอวดดี ไม่มีทางเข้าทางออก
และนับวันแต่ละคนก็แข่งกันสร้างให้สูง เพื่อหลีกเร้นจากคนภายนอก ดูเหมือนว่าโลกเราพัฒนามามากขึ้น
แต่เราก็ยังไม่อาจจะรู้ว่าคนสมัยก่อนเขาสร้างสิ่งต่างๆ ให้สวยงามได้อย่างไร
นั่นเป็นเพราะเราขาดศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ขาดศรัทธาต่อชีวิตตัวเองและผู้คนรอบข้าง
ความเมตตาอารีต่อกันมักกลายเป็นเครื่องต่อรองถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับกลับคืน คนเราเกิดเป็นทางเข้า
ตายเป็นทางออก แต่ในระหว่างมีชีวิตเราเป็นหนทางให้กับใครได้เข้ามาสัมผัสความงามของชีวิตเราบ้าง
มีใครได้ก้าวข้ามกำแพงที่เราสร้างขึ้นไว้สักกี่คน บนหนทางชีวิตที่แท้จริงแล้ว เราควรที่จะช่วยกันสร้างความงาม
ช่วยกันปลูกความดีเพื่อเป็นเครื่องป้องกันภัยอันตรายจากสิ่งภายนอก มากกว่าการที่จะซ่อนเร้นสิ่งภายในไม่ให้ใครเข้าใกล้และมองเห็น
ชีวิตเรามิได้ยืนยาวและยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่เราคิดไว้เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น