วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ที่สุดแล้ว


ที่สุดแล้ว
ในขณะที่มีลมหายใจ แขนขามีแรง หัวใจยังแกร่ง เรามักจะมีความะยานอยากกันด้วยทุกคน แต่ยามที่ร่างโรยราไร้เรี่ยวแรง ใจคอห่อเหี่ยว ความทะยานอยากก็พลันมลายหายไป และจะมีสักกี่คนที่พร้อมน้อมรับและอยู่ในโลกนี้ อยู่กับผู้คนอย่างรู้คุณค่า อยู่อย่างรู้จักเพียงพอ อยู่เท่าที่อยู่ได้โดยมิต้องสะสมกอบโกยเก็บเกี่ยว และรู้จักที่จะเอื้อเกื้อกูลในสิ่งที่ได้มาจากความเชี่ยวชาญ จากพรสวรรค์ เพื่อผู้คนที่ยังยากไร้ ชีวิตก็เท่านี้ ที่สุดแล้วเราทุกคนล้วนต้องจากไปและไม่ได้ใช้สิ่งที่เราพยายามครอบครอง มันคือสัจธรรมที่หลายคนค้นพบก่อนวันนั้นจะมาถึง แล้วเราเข้าถึงสัจจะข้อนี้มากน้อยเพียงใด

มองดูผู้คนมากมายเวียนวนเข้าออกโรงพยาบาลในวันหนึ่งๆ เป็นจำนวนมิใช่น้อย ดูเหมือนว่าความเจ็บความป่วยของผู้คนมีมากขึ้นๆ ไม่ว่าโรงพยาบาลจะมีขนาดใหญ่สักเพียงใดก็ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับกับคนป่วยได้ บางที่บางแห่งต้องรอเข้าแถวต่อคิวกันเป็นวันๆ เพื่อจะได้รับการรักษา และในวันที่ต้องมีภารกิจเฝ้าดูแลคนใกล้ชิดในโรงพยาบาล ทำให้มองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตมากขึ้น คนเราอวดรู้เพื่ออะไรที่สุดแล้วก็ต้องพึงพาคนอื่นอยู่ดี คนเราแสวงหาทรัพย์สมบัติให้เกินตัวเพื่ออะไร? ที่สุดแล้วก็ไม่แคล้วต้องมานอนบนเตียงดูเพดานขาวๆ สายระโยงระยาง คนเรายโสทะเลาะขัดแย้งกันเพื่ออะไร? ที่สุดแล้วก็ต้องการใครสักคนมานั่งพูดคุย มาให้กำลังใจข้างๆ เตียง ในวันที่นอนโดดเดี่ยวคนเดียว บางทีหนทางชีวิตที่เรียบๆ ง่ายๆ ไม่มากมายไม่รุงรังปังเวอร์ ย่อมเป็นหนทางแห่งความผาสุก แม้จะไม่ถูกจริตกับกระแสโลก แต่ที่สุดแล้วมันคือสิ่งสุดท้ายของทุกผู้คนที่ปรารถนาถึง
Chuck Feeney ชายชรา เช่าบ้านอาศัยอยู่ในเมืองซานฟรานซิสโกกับภรรยา เขาไม่เคยสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม เขาไม่ชอบทานอาหารหรู ที่เขาชอบที่สุดคือแซนวิชชีสย่างมะเขือเทศที่ราคาแสนถูก เขาใช้แว่นตาเก่าๆ ใส่นาฬิกาธรรมดา และไม่มีรถขับ การเดินทางก็มักใช้บริการรถโดยสาร หากคุณไปทานอาหารกับเขา เขาจะตรวจสอบบิลอย่างละเอียด หากคุณอาศัยอยู่ในบ้านของเขา ก่อนที่จะเข้านอน เขาจะเตือนให้คุณปิดไฟอย่างแน่นอน นจนที่มัธยัสถ์เช่นนี้ คุณรู้ไหม เขาได้ทำอะไรมาบ้าง
เขาได้บริจาคเงิน 588,000,000 เหรียญสหรัฐให้มหาวิทยาลัยคอร์แนล โดยห้ามมหาวิทยาลัยไม่ให้ประกาศชื่อผู้บริจาค บริจาค 125,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย  และบริจาค 60,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ต
เขายังได้ลงทุน 1,000,000,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อปรับปรุงมหาวิทยาลัยอีก 7 แห่ง และอีก 2 แห่งในไอร์แลนด์เหนือ เขาจัดตั้งกองทุนการกุศล ให้ค่ารักษาพยาบาลฟรี สำหรับเด็กปากแหว่ง ในประเทศที่กำลังพัฒนา เขาได้บริจาคเงินทั้งสิ้น 4,000,000,000 เหรียญสหรัฐ และยังมีอีก 4,000,000,000 เหรียญสหรัฐ รอที่จะบริจาค
ชายชราผู้ใจกว้างมากท่านนี้ เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าของ DFS บริษัทดิวตี้ฟรีอันดับ 1 ของโลก เขารักการหาเงิน แต่จะใช้เงินอย่างประหยัดมาก ขณะนี้ Chuck Feeney มีความปรารถนาว่า ก่อนปี 2016 เขาจะบริจาคเงินที่เหลือให้หมด เพื่อจะได้ตายตาหลับ ขณะนี้เงินที่เหลืออยู่ได้กระจายไปทั่วโลกให้พื้นที่จำเป็น ในอัตรา 400,000,000 เหรียญสหรัฐต่อปี เขาเป็นตัวอย่างสำหรับคนรวยที่ว่า ในขณะที่มีความสุขกับชีวิต ให้แบ่งปันความสุขนี้ให้กับผู้อื่นด้วย
การทำการกุศลของ Chuck Feeney เป็นที่โด่งดังมาก ผู้สื่อข่าวจำนวนมากเดินทางมาถึงบ้านของเขา ทุกคนล้วนแปลกใจ และถามว่า Chuck Feeney คุณมีทรัพย์สินมากมาย ทำไมถึงไม่ไปใช้ชีวิตที่สวยหรู...
เพื่อตอบข้อสงสัยของทุกคน Chuck Feeney ยิ้มและบอกเล่าเรื่องราว “สุนัขจิ้งจอก พบไร่องุ่นที่เต็มไปด้วยผลไม้ อยากจะเข้าไปในไร่ เพื่อกินองุ่นให้เต็มที่ แต่มันอ้วนเกินไป เลยมุดผ่านรั้วไปไม่ได้ ดังนั้นมันจึงไม่กินไม่ดื่มอยู่สามวัน และแล้วตัวมันก็ผอมลง และมุดผ่านรั้วไปได้!
เมื่อกินอิ่มเป็นที่พึงพอใจแล้ว แต่ตอนที่จะกลับออกไป กลับออกไม่ได้ ทำอย่างไรก็ไม่ได้ เมื่อไม่มีทางเลือก มันเลยต้องอดน้ำอดอาหาร อีกสามวันสามคืน สุดท้ายแล้วท้องของมันตอนที่ออกมาก็เหมือนกับตอนที่มันเข้าไป
เมื่อเล่าเสร็จ Chuck Feeney กล่าวว่า บนสวรรค์นั้นไม่มีธนาคาร ทุกคนเกิดมากับความว่างเปล่า ในที่สุดก็ จากไปมือเปล่า ไม่มีใครสามารถนำความมั่งคั่งกลับไปได้
สื่อถาม Chuck Feeney ว่าทำไมต้องบริจาคออกไปจนหมด คำตอบของเขาง่ายมาก และไม่มีใครคาดถึง
เขากล่าวว่า เพราะถุงศพไม่มีกระเป๋า
ที่จริงแล้วความจนของเขา เกิดจากการบริจาคเงินมหาศาล เขาช่างเป็นคนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ สิ่งที่เขาได้มา ได้ส่งคืนกลับไปสู่สังคมทั้งหมด มันทำให้เขามีความสุขมากกว่ามีเงินเป็นหมื่นล้านเสียอีก...Chuck Feeney ถึงแก่กรรม ปีนี้ 2016 รวมอายุได้ 85 ปี(จากนิตยสาร Forbes)
แน่ล่ะ บางคนอาจจะมีข้อโต้แย้งว่า ก็เราไม่ได้มั่งมีเหมือนอย่างเขา เราจึงทำอย่างนั้นไม่ได้ เรากำลังอยู่ในช่วงหาให้มีก่อน มีแล้วจึงจะแบ่งให้คนอื่นได้ (แต่ไม่ถึงจุดอิ่มตัวสักที) นั่นเพราะเราชอบตีค่าสิ่งใดๆ ในโลกด้วยมูลค่า โดยไม่ได้คิดว่ามีอีกหลายสิ่งหลายอย่างมีคุณค่าต่อชีวิตคนเรา ความเมตตาที่มอบให้กันไม่จำเป็นต้องออกมาในรูปของทรัพย์สินเงินทองเสมอไป ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจ ความใส่ใจ ต่อคนรอบข้าง การมอบความรัก ให้อภัยต่อกันก็นับมาเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่และนำความเป็นหนึ่งเดียวมาสู่สังคม ชีวิตของแต่ละคนมีบ้าง ไม่มีบ้างไม่เหมือนกัน แต่ที่สุดแล้วปลายทางก็ไม่แตกต่างกัน ใช่หรือไม่ หาก กาย ใจ จิตวิญญาณ ของเราร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ เราก็จะเห็นคุณค่าในทุกสิ่งและมีเมตตาต่อทุกคน ความสันติสุขก็จะบังเกิดขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น: