มหัศจรรย์สิ่งสร้าง
การใช้ชีวิตต่างที่ต่างถิ่นต่างกลิ่นอาย
มีสิ่งที่ให้พบเห็นมากมาย นำมาซึ่งความตื่นตาตื่นใจ แน่ล่ะ...สิ่งใดที่เพิ่งเคยพบเคยเห็นย่อมนำความตื่นเต้นมาให้
สิ่งใดที่อยู่ใกล้ตัวที่เห็นเป็นประจำก็มักจะหมดความน่าสนใจไปในที่สุดนี่คือวิถีชีวิตของคนทั่วๆ
ไป ฝรั่งมังค่าชอบมาอาบแดดเมืองไทย คนไทยชอบที่จะเดินชมเมืองกลางความหนาวเย็น
แต่จะแลกเปลี่ยนที่อยู่กันเลยก็คงไม่มีใครเอา ใช่หรือไม่
ความอัศจรรย์อย่างหนึ่งของชีวิตคนเราคือการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี แต่เป็นเราเองนี่แหละเลือกที่จะอยู่ในที่ที่คุ้นเคยมากกว่า
เพื่อความปลอดภัย สถานที่หลายแห่งที่เราไปเยี่ยมชมสร้างความตื่นตาตื่นใจมิใช่น้อย
สิ่งสร้างที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นบนความอัศจรรย์มีให้เราค้นพบในทุกยุคทุกสมัย
ในกรุงลอนดอนมีสถานที่เยี่ยมชมมากมาย ทั้งสิ่งสร้างใหม่ๆ
และสิ่งสร้างเมื่อหลายสิบหลายร้อยปีที่ผ่านมา
พระราชวังบักกิงแฮมแต่เดิมชื่อ “คฤหาสน์บักกิงแฮม”
(Buckingham House) สิ่งก่อสร้างที่เดิมทีเป็นคฤหาสน์สำหรับจอห์น
เชฟฟิลด์ ดยุคแห่งบักกิงแฮมในปี ค.ศ. 1703 ต่อมาในปี ค.ศ. 1761
สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 ทรงซื้อจากดยุคแห่งบักกิงแฮมเพื่อเป็นพระราชฐานส่วนพระองค์
ที่รู้จักกันในชื่อ “วังพระราชินี” (The Queen's
House) พระราชวังบักกิงแฮมกลายมาเป็นพระราชฐานที่ประทับอย่างเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษ
เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียขึ้นครองราชย์เมื่อปี ค.ศ. 1837
บางครั้งพระราชวังบักกิงแฮมก็เรียกกันเล่นๆ ว่า “บักเฮาส์” ผู้คนมักมายืนรอดูเหล่าทหารเปลี่ยนเวรยามในช่วง 11.00 น.
ทาวเวอร์บริดจ์ (Tower Bridge) คือ
สะพานที่มีรูปแบบของสะพานยกและสะพานแขวนอยู่รวมกัน ตั้งอยู่ใจกลางกรุงลอนดอน
สร้างขึ้นในระหว่าง ค.ศ. 1886-1894 เพื่อเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์
สะพานแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับหอคอยแห่งลอนดอน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อสะพานว่า “ทาวเวอร์บริดจ์”
หรือ “สะพานหอคอย” และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งหนึ่งของกรุงลอนดอน ประกอบด้วยหอคอย 2
หอ หลายคนเข้าใจผิดคิดว่านี่คือสะพานลอนดอน ซึ่งจะอยู่ห่างกันออกไปอีกสะพานหนึ่ง
สามารถมองเห็นได้จากสะพานแห่งนี้
บนสะพานมีทางให้ผู้คนเดินกว้างกว่าช่องทางให้รถแล่นเสียอีก
หอนาฬิกาพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ (Clock Tower, Palace of Westminster)
หรือรู้จักดีในชื่อ บิ๊กเบน
เป็นหอนาฬิกาประจำพระราชวังเวสต์มินสเตอร์
ซึ่งในปัจจุบันใช้เป็นรัฐสภาอังกฤษตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวัง
หอนาฬิกานี้ถูกสร้างหลังจากไฟไหม้พระราชวังเวสต์มินสเตอร์เดิม เมื่อวันที่ 16
ตุลาคม พ.ศ. 2377 หลายคนเข้าใจว่าบิ๊กเบนเป็นชื่อหอนาฬิกาประจำรัฐสภาอังกฤษ
แต่แท้ที่จริงแล้ว บิ๊กเบนเป็นชื่อเล่นของระฆังใบใหญ่ที่สุด หนักถึง 13,760
กิโลกรัม ซึ่งแขวนไว้บริเวณช่องลมเหนือหน้าปัดนาฬิกา ทั้งนี้มีระฆังรวมทั้งสิ้น 5
ใบ โดย 4 ใบจะถูกตีเป็นทำนอง ส่วนบิ๊กเบนจะถูกตีบอกชั่วโมงตามตัวเลขที่เข็มสั้นชี้บนหน้าปัดนาฬิกา
คนส่วนใหญ่กลับใช้ชื่อบิ๊กเบนเรียกตัวหอทั้งหมด
สิ่งมหัศจรรย์ที่พลาดไม่ได้ในการเยือนอังกฤษในครั้งนี้นั่นคือสโตนเฮนจ์
ตั้งอยู่กลางทุ่งราบซัลลิสเบอร์รี (Salisbury Plain) บริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ
สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเพราะบริเวณโดยรอบนั้นไม่มีสิ่งปลูกสร้างอื่นใดเลย
มีจำนวนแท่งหินทั้งหมด 112 ก้อน ตั้งเรียงเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง
และวางเรียงในลักษณะที่ต่างกัน ทั้งวางนอน วางพาดกัน และวางตั้งขึ้น
นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณอายุของหินกลุ่มนี้
พบว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ
3,000–2,000 ปีก่อนคริสตกาล สรุปคืออายุกว่า 5,000 ปีเลยทีเดียว
การก่อสร้างสโตนเฮนจ์ใช้เวลาสร้างต่อเนื่องกันมาถึง 3-4 ระยะในช่วงเวลาประมาณ
1,500 ปี คำนวนจากการที่หินแต่ละก้อน แต่ละชั้นมีอายุไม่เท่ากัน มาจากต่างยุคกัน
ตั้งแต่ยุคหินตอนปลายจนถึงยุคสำริดตอนต้น สิ่งที่น่าสงสัยคือ
บริเวณที่ราบดังกล่าวไม่มีก้อนหินขนาดมหึมานี้อยู่เลย มีคำอธิบายความเป็นไปได้มากที่สุดคือมาจาก
“ทุ่งมาร์ลโบโร” (Marlborough Downs) ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ
40 กิโลเมตร และยังมีหินสีน้ำเงินหนักสี่ตัน ซึ่งพบได้บริเวณภูเขาพรีเซลีทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเวลส์
(ใช้แพลำเลียงล่องมาตามชายฝั่งเวลส์และแม่น้ำเอวอน แล้วชักลากต่อมาทางบก)น่าแปลกใจมิใช่น้อย
คนในยุคนั้นเขาใช้อะไรมายกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน แถมยังต้องลากมาจากสถานที่อื่นอันห่างไกล
มีเครื่องทุ่นแรงอะไรช่วย ไหนจะเรื่องที่ต้องนำหินมาขัดแต่งให้เป็นเหลี่ยม เป็นมน
มีสลัก และเดือยซึ่งจะทำให้หินพาดกันได้อย่างพอดี มีความมั่นคง จึงเป็นที่มาว่าอาจจะเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนโลก
โดยใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในการสร้าง บ้างก็ว่าเป็นผลงานศิลปะของยักษ์ในยุคก่อน
แต่ที่แน่ๆ นี่คือความมหัศจรรย์ในสิ่งสร้างที่เรามิอาจจะล่วงรู้ได้
ใยมิต้องไปแสวงหาคำตอบแห่งการก่อเกิดจักรวาล
การใช้สมองของเรามนุษย์ตัวเล็กๆ
เพื่อทำความเข้าใจพระเจ้าพระผู้สร้างผู้ยิ่งใหญ่ และวิถีทางของพระองค์นั้น ไม่มีทางที่เราจะเรียนรู้และเข้าใจได้ทั้งหมดเลย
สิ่งเดียวที่เราต้องมีเพื่อน้อมรับความอัศจรรย์ทั้งหลายทั้งปวงนั่นคือการมีความเชื่อแบบเด็กเล็กๆ
แบบที่ไม่ต้องการเหตุผลมากมายมารองรับ
เพียงสิ่งสร้างที่มนุษย์สรรสร้างขึ้นมาเรายังทึ่ง
สำหาอะไรกับการสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ทรงเนรมิตขึ้นมาในทุกวี่วันที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
แค่เพียงร่างกายเราก็คือสิ่งมหัศจรรรย์ที่เรายังมิอาจจะเข้าใจได้ทั้งหมดทั้งสิ้น
การมีความเชื่อทำให้เรามีความสุขในการมองเห็นสิ่งสร้าง เราต้องต้อนรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงเป็นอย่างไม่มีเงื่อนไขและดำเนินชีวิตอยู่ในความดี
มีเมตตา ดูแลร่างกายจิตใจให้มีความสมบูรณ์ที่สุด
เราจะรู้จักและรักในองค์พระผู้สร้างมากขึ้น จะมีความมั่นคงแม้ในวันที่เหน็บหนาว
จะไม่กระวนกระวายในวันที่ร้อนแดดแผดเผา เราจะฉ่ำเย็นสุขอุราในวันที่ฝนฟ้าพัดผ่านมา
เพราะเราคือสิ่งสร้างที่มหัศจรรย์สิ่งหนึ่งในสิ่งสร้างทั้งหลายทั้งปวงที่ล้วนนำมาซึ่งความเป็นหนึ่งเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น