วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

มหัศจรรย์สิ่งสร้าง

มหัศจรรย์สิ่งสร้าง
การใช้ชีวิตต่างที่ต่างถิ่นต่างกลิ่นอาย มีสิ่งที่ให้พบเห็นมากมาย นำมาซึ่งความตื่นตาตื่นใจ แน่ล่ะ...สิ่งใดที่เพิ่งเคยพบเคยเห็นย่อมนำความตื่นเต้นมาให้ สิ่งใดที่อยู่ใกล้ตัวที่เห็นเป็นประจำก็มักจะหมดความน่าสนใจไปในที่สุดนี่คือวิถีชีวิตของคนทั่วๆ ไป ฝรั่งมังค่าชอบมาอาบแดดเมืองไทย คนไทยชอบที่จะเดินชมเมืองกลางความหนาวเย็น แต่จะแลกเปลี่ยนที่อยู่กันเลยก็คงไม่มีใครเอา ใช่หรือไม่ ความอัศจรรย์อย่างหนึ่งของชีวิตคนเราคือการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี แต่เป็นเราเองนี่แหละเลือกที่จะอยู่ในที่ที่คุ้นเคยมากกว่า เพื่อความปลอดภัย สถานที่หลายแห่งที่เราไปเยี่ยมชมสร้างความตื่นตาตื่นใจมิใช่น้อย สิ่งสร้างที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นบนความอัศจรรย์มีให้เราค้นพบในทุกยุคทุกสมัย ในกรุงลอนดอนมีสถานที่เยี่ยมชมมากมาย ทั้งสิ่งสร้างใหม่ๆ และสิ่งสร้างเมื่อหลายสิบหลายร้อยปีที่ผ่านมา
พระราชวังบักกิงแฮมแต่เดิมชื่อ คฤหาสน์บักกิงแฮม” (Buckingham House) สิ่งก่อสร้างที่เดิมทีเป็นคฤหาสน์สำหรับจอห์น เชฟฟิลด์ ดยุคแห่งบักกิงแฮมในปี ค.ศ. 1703 ต่อมาในปี ค.ศ. 1761 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 ทรงซื้อจากดยุคแห่งบักกิงแฮมเพื่อเป็นพระราชฐานส่วนพระองค์ ที่รู้จักกันในชื่อ วังพระราชินี” (The Queen's House) พระราชวังบักกิงแฮมกลายมาเป็นพระราชฐานที่ประทับอย่างเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษ เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียขึ้นครองราชย์เมื่อปี ค.ศ. 1837 บางครั้งพระราชวังบักกิงแฮมก็เรียกกันเล่นๆ ว่า บักเฮาส์ ผู้คนมักมายืนรอดูเหล่าทหารเปลี่ยนเวรยามในช่วง 11.00 น.
ทาวเวอร์บริดจ์ (Tower Bridge) คือ สะพานที่มีรูปแบบของสะพานยกและสะพานแขวนอยู่รวมกัน ตั้งอยู่ใจกลางกรุงลอนดอน สร้างขึ้นในระหว่าง ค.ศ. 1886-1894 เพื่อเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ สะพานแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับหอคอยแห่งลอนดอน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อสะพานว่า “ทาวเวอร์บริดจ์” หรือ “สะพานหอคอย” และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งหนึ่งของกรุงลอนดอน ประกอบด้วยหอคอย 2 หอ หลายคนเข้าใจผิดคิดว่านี่คือสะพานลอนดอน ซึ่งจะอยู่ห่างกันออกไปอีกสะพานหนึ่ง สามารถมองเห็นได้จากสะพานแห่งนี้ บนสะพานมีทางให้ผู้คนเดินกว้างกว่าช่องทางให้รถแล่นเสียอีก

หอนาฬิกาพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ (Clock Tower, Palace of Westminster) หรือรู้จักดีในชื่อ บิ๊กเบน เป็นหอนาฬิกาประจำพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ ซึ่งในปัจจุบันใช้เป็นรัฐสภาอังกฤษตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวัง หอนาฬิกานี้ถูกสร้างหลังจากไฟไหม้พระราชวังเวสต์มินสเตอร์เดิม เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2377 หลายคนเข้าใจว่าบิ๊กเบนเป็นชื่อหอนาฬิกาประจำรัฐสภาอังกฤษ แต่แท้ที่จริงแล้ว บิ๊กเบนเป็นชื่อเล่นของระฆังใบใหญ่ที่สุด หนักถึง 13,760 กิโลกรัม ซึ่งแขวนไว้บริเวณช่องลมเหนือหน้าปัดนาฬิกา ทั้งนี้มีระฆังรวมทั้งสิ้น 5 ใบ โดย 4 ใบจะถูกตีเป็นทำนอง ส่วนบิ๊กเบนจะถูกตีบอกชั่วโมงตามตัวเลขที่เข็มสั้นชี้บนหน้าปัดนาฬิกา คนส่วนใหญ่กลับใช้ชื่อบิ๊กเบนเรียกตัวหอทั้งหมด
สิ่งมหัศจรรย์ที่พลาดไม่ได้ในการเยือนอังกฤษในครั้งนี้นั่นคือสโตนเฮนจ์ ตั้งอยู่กลางทุ่งราบซัลลิสเบอร์รี (Salisbury Plain) บริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเพราะบริเวณโดยรอบนั้นไม่มีสิ่งปลูกสร้างอื่นใดเลย มีจำนวนแท่งหินทั้งหมด 112 ก้อน ตั้งเรียงเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง และวางเรียงในลักษณะที่ต่างกัน ทั้งวางนอน วางพาดกัน และวางตั้งขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณอายุของหินกลุ่มนี้
พบว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ 3,000–2,000 ปีก่อนคริสตกาล สรุปคืออายุกว่า 5,000 ปีเลยทีเดียว การก่อสร้างสโตนเฮนจ์ใช้เวลาสร้างต่อเนื่องกันมาถึง 3-4 ระยะในช่วงเวลาประมาณ 1,500 ปี คำนวนจากการที่หินแต่ละก้อน แต่ละชั้นมีอายุไม่เท่ากัน มาจากต่างยุคกัน ตั้งแต่ยุคหินตอนปลายจนถึงยุคสำริดตอนต้น สิ่งที่น่าสงสัยคือ บริเวณที่ราบดังกล่าวไม่มีก้อนหินขนาดมหึมานี้อยู่เลย มีคำอธิบายความเป็นไปได้มากที่สุดคือมาจาก “ทุ่งมาร์ลโบโร” (Marlborough Downs) ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร และยังมีหินสีน้ำเงินหนักสี่ตัน ซึ่งพบได้บริเวณภูเขาพรีเซลีทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเวลส์ (ใช้แพลำเลียงล่องมาตามชายฝั่งเวลส์และแม่น้ำเอวอน แล้วชักลากต่อมาทางบก)น่าแปลกใจมิใช่น้อย คนในยุคนั้นเขาใช้อะไรมายกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน แถมยังต้องลากมาจากสถานที่อื่นอันห่างไกล มีเครื่องทุ่นแรงอะไรช่วย ไหนจะเรื่องที่ต้องนำหินมาขัดแต่งให้เป็นเหลี่ยม เป็นมน มีสลัก และเดือยซึ่งจะทำให้หินพาดกันได้อย่างพอดี มีความมั่นคง จึงเป็นที่มาว่าอาจจะเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนโลก โดยใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในการสร้าง บ้างก็ว่าเป็นผลงานศิลปะของยักษ์ในยุคก่อน แต่ที่แน่ๆ นี่คือความมหัศจรรย์ในสิ่งสร้างที่เรามิอาจจะล่วงรู้ได้ ใยมิต้องไปแสวงหาคำตอบแห่งการก่อเกิดจักรวาล

การใช้สมองของเรามนุษย์ตัวเล็กๆ เพื่อทำความเข้าใจพระเจ้าพระผู้สร้างผู้ยิ่งใหญ่ และวิถีทางของพระองค์นั้น ไม่มีทางที่เราจะเรียนรู้และเข้าใจได้ทั้งหมดเลย สิ่งเดียวที่เราต้องมีเพื่อน้อมรับความอัศจรรย์ทั้งหลายทั้งปวงนั่นคือการมีความเชื่อแบบเด็กเล็กๆ แบบที่ไม่ต้องการเหตุผลมากมายมารองรับ เพียงสิ่งสร้างที่มนุษย์สรรสร้างขึ้นมาเรายังทึ่ง สำหาอะไรกับการสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ทรงเนรมิตขึ้นมาในทุกวี่วันที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา แค่เพียงร่างกายเราก็คือสิ่งมหัศจรรรย์ที่เรายังมิอาจจะเข้าใจได้ทั้งหมดทั้งสิ้น การมีความเชื่อทำให้เรามีความสุขในการมองเห็นสิ่งสร้าง เราต้องต้อนรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงเป็นอย่างไม่มีเงื่อนไขและดำเนินชีวิตอยู่ในความดี มีเมตตา ดูแลร่างกายจิตใจให้มีความสมบูรณ์ที่สุด เราจะรู้จักและรักในองค์พระผู้สร้างมากขึ้น จะมีความมั่นคงแม้ในวันที่เหน็บหนาว จะไม่กระวนกระวายในวันที่ร้อนแดดแผดเผา เราจะฉ่ำเย็นสุขอุราในวันที่ฝนฟ้าพัดผ่านมา เพราะเราคือสิ่งสร้างที่มหัศจรรย์สิ่งหนึ่งในสิ่งสร้างทั้งหลายทั้งปวงที่ล้วนนำมาซึ่งความเป็นหนึ่งเดียว

ไม่มีความคิดเห็น: