วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

ขึ้นๆ ลงๆ คงมีความงาม

ขึ้นๆ ลงๆ คงมีความงาม
              การเดินทางสู่ทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษเริ่มต้นด้วยการเยี่ยมเยียนอาสนวิหารแห่งเมืองลิเวอร์พูล Metropolitan Cathedral of Christ the King ท่ามกลางสายลมที่พัดพานำความหนาวเย็นมาปะทะใบหน้าที่ไร้ที่ปกปิด ภายนอกด้านหน้ามีบันไดขึ้นสู่ตัววิหารสูงพอสมควร มีศิลปะสลักตราสัญลักษณ์ของพระสันตะปาปากลางแสงส่อง   เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งพระจิตเจ้าที่ยังช่วยเหลือพระศาสนจักรมาจวบจนปัจจุบันดูเด่นเป็นสง่า บนยอดวิหารสร้างขึ้นเหมือนมงกุฎของกษัตริย์ ภายในตัววัดเป็นวงกลมมีที่นั่งสัตบุรุษล้อมรอบ พระแท่นอยู่ตรงกลาง ด้านหน้าพระแท่นเป็นรูปลูกแกะกับไม้กางเขนเอียง เปรียบเหมือนลูกแกะกำลังแบกกางเขนอยู่ ด้านรอบๆ เป็นพระแท่นเล็กๆ ให้ผู้มาเยือนสวดภานา มีศิลปะเกี่ยวกับคำสอนสวยงามอยู่รายรอบ มีรูป 14 ภาคสีทองท่ามกลางกระจกสีม่วงเข้ม เราจึงมาสวดขอบคุณวันเวลาที่พระประทานให้เราในช่วงพักผ่อนนี้ และให้พระคุ้มครองตลอดการเดินทางท่องไปทางภาคเหนือของอังกฤษในครั้งนี้ด้วย

              จากนั้นผู้นำทางของเราได้พาเราไปยังเมืองต่างๆ ภายในหนึ่งสัปดาห์ เช่น วินเดอร์เมียร์ เกรตนา  กลาสโกว์ เอดินเบอะรา สกอตแลนด์ (ที่เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร)  เมืองนิวคาสเซิล วิทบิ สคาร์เบอระ ลีดส์ ยอร์ค ลินคอร์น น็อตติ้งแฮม และอีกหลายเมือง สิ่งที่น่าจดจำนอกจากสถานที่สำคัญๆ ของเมืองต่างๆ เหล่านั้น ก็อยู่ตรงที่ผู้นำทางของเราเป็นผู้รู้เส้นทางค่อนข้างดีมาก รู้ว่าควรไปในเส้นทางไหน โดยส่วนใหญ่มักพาเราไปในทางรอง ที่ไม่ใช่ทางหลัก แต่ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ ถามว่าทำไม? เพราะทางรองเหล่านี้แม้จะไม่ค่อยมีรถราวิ่ง ทางมักเป็นทางขึ้นๆลงๆภูเขา แต่สองข้างทางนั้นสวยงามเพลินตายิ่งนัก แม้หนทางจะดูไม่ราบเรียบ ความงามของภูเขา ทุ่งกว้างเขียวขจี มีฝูงแกะหากินตามทุ่งนั้น เป็นความงามที่เชยชมอย่างมิรู้เบื่อ จึงลืมไปว่าทางขึ้นลงมานั้นมีมากน้อยเท่าไร หากเราพะวงกับการขึ้นลงเขาเพียงอย่างเดียว เราก็พลาดความงามสองข้างทาง หากเราไปทางหลักเราก็ไปถึงได้เร็วกว่าแต่คงขาดความงามและบรรยากาศแห่งท้องทุ่งไป มีบางครั้งบางที่อดรนทนไม่ไหวขอลงไปถ่ายภาพเก็บไว้ เมื่อก้าวย่างลงจากรถก็พบกับสายลมผสมผสานกับความเย็นยะเยือก บางที่มีสายฝนปอยๆลงมาผสมโรงอีก หรือแม้กระทั่งระหว่างรอยต่อสก๊อตแลนด์กับอังกฤษเราพบชาวสกอตเป่าปี่สวมใส่ชุดลายสกอต เราก็จอดรถข้ามถนนเพื่อไปฟังเสียงปี่อันไพเราะนั้น แม้สภาพอากาศจะไม่เอื้ออำนวย แต่ความสุขอิ่มเอมของบรรยากาศข้างหน้านั้นก็ทำให้เราสามารถที่จะยืนอยู่ในที่นั้นได้
             
ในระหว่างทางขึ้นๆ ลงๆ ในบางขณะเพื่อนได้เล่าเรื่องราวความทุกข์ยากของชีวิตให้ฟัง เล่าถึงความสุขที่ได้รับมา ทั้งจากวัยเด็กจวบจนปัจจุบันที่ใช้ชีวิตในต่างแดน จึงอดที่จะคิดถึงชีวิตตนเองไม่ได้ หลายครั้งในชีวิตเราก็เป็นเช่นนั้นมีขึ้นมีลง ใช่หรือไม่ ชีวิตไม่ได้มีแต่ช่วงขาขึ้นเพียงอย่างเดียว ยังมีช่วงขาลงด้วยเช่นกัน ถ้าคนเราไม่รู้จุดต่ำสุด  ก็จะไปไม่ถึงจุดสูงสุด ไม่มีกราฟของชีวิตของคนไหนหรอกที่ตกตลอด เมื่อลงถึงจุดต่ำสุดแล้ว  ก็มีโอกาสพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดเช่นกัน ตราบใดที่พระอาทิตย์ยังขึ้นทางทิศตะวันออก เราต้องอยู่อย่างมีความหวังอยู่เสมอ ชีวิตคนเรานั้นไม่แน่นอน มีขึ้นมีลงอยู่ตลอดเวลา เราต้องอยู่ในความไม่ประมาท ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เรียนรู้ และรู้จักที่จะอยู่กับทุกช่วงเวลา ในทุกช่วงเวลานั้นมีความงามอยู่เสมอ บางทีเราอาจจะมองไม่เห็นหรือมองข้ามไปได้
              บางคนเมื่อตัวเองขึ้นถึงที่สุดก็คิดว่านี่คือสุดยอดแล้ว ประสบความสำเร็จแล้ว และเริ่มประมาทไม่มองสิ่งอื่นนอกจากจมอยู่กับความภาคภูมิใจนั้น คิดเอาง่ายๆว่า ความสำเร็จได้มานั้นง่ายนิดเดียว ไม่ต้องทำอะไรมาก เริ่มเกิดความชะล่าใจ ขาดการดูแลเอาใจใส่และไม่ต่อเติมจากสิ่งที่ได้รับมา ไม่ออกมายืนมองดูสิ่งแวดล้อมภายนอก ไม่ได้สัมผัสกลิ่นอายรสชาติของความเป็นมนุษย์เปรียบได้เหมือนต้นไม้ที่เจ้าของไม่ค่อยรดน้ำพรวนดิน ต้นไม้ก็ค่อยๆแห้งเหี่ยวเฉาลง ไม่นานความสำเร็จนั้นก็กลายเป็นอดีต ทุกอย่างก็ค่อยๆ ร่วงโรย เหมือนใบไม้แห้งที่หล่นลงจากต้น คนเราทำอะไร อย่าได้ชะล่าใจ อย่าประมาท ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องเสมอต้นเสมอปลาย ทำๆขาดๆหายๆ ไม่ต่อเนื่อง ชีวิตก็จะไม่ต่อเนื่อง จะมีขึ้นๆลงๆ ถ้าใครตอนนี้ ชีวิตอยู่ช่วงขาขึ้น ชีวิตหน้าที่การงานไปได้ด้วยดี ก็ต้องรักษาระดับ keep momentum นี้เอาไว้ อย่าให้ชีวิต หรือความสำเร็จลดลง ถ้าสังเกตเห็นอะไรที่เริ่มคล้อยลงต่ำ หรืออยู่ในช่วงขาลง ก็รีบเปลี่ยนแปลง หรือแก้ไขวิถีการดำเนินชีวิต ปรับปรุงและปรับเปลี่ยนให้ไปในทางที่ดีขึ้น

              ส่วนใครที่พลาดไปแล้ว หลง ลืมตัว ไปแล้ว อยู่ในช่วงขาลงสุดๆ ก็ต้องรู้จักคิด ทำใหม่ แก้ตัวใหม่ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ก็ยังไม่สายเกินไป ชีวิตเราทุกคนมีขึ้น มีลง  เป็นจังหวะชีวิต  ช่วงขาขึ้น  ก็ดีใจพอประมาณ  ช่วงขาลงก็อย่าเศร้าจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อมีขึ้นก็ต้องมีลง  เป็นธรรมดา ขึ้นๆ ลงๆ วนเวียนอยู่เช่นนี้เองหาความงามยามขึ้นหรือลงให้เจอ และรู้จักที่จะพักที่จะทักทายพูดคุยกับตัวเอง เพื่อเราจะได้รู้ว่าเป้าหมายชีวิตที่แท้จริงเราอยู่ตรงไหน ปลุกปลอบชีวิตด้วยกำลังใจ เพื่อให้เกิดความมั่นใจ และยิ้มรับกับทุกสถานการณ์ของชีวิต ยิ้มกลางสายฝน ยิ้มได้เมื่อภัยมานั้น ต้องฝึกหัดตัวเอง ให้คุ้นเคยกับความจริงของชีวิต ว่าทุกอย่างมีขึ้นมีลง ไม่เที่ยง

              ในสภาพที่ร้อนแล้งเรายังพบเห็นดอกหญ้าที่งดงาม ในสภาพที่หนาวยะเยือกเรายังเห็นดอกไม้สร้างสีสันประดับท้องทุ่ง ในสภาพในสภาวะปกติของชีวิตเรายังพบเห็นน้ำใจ ความเอื้ออาทรต่อกัน ยังคงเห็นมิตรภาพเกิดขึ้นได้ในยามทุกข์ท้อ เช่นนี้แล้วเราจึงไม่ควรยึดมั่นกับสภาวะใดสภาวะหนึ่ง ยอมรับการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ตีโพยตีพายรู้เท่าทันอยู่เสมอ ทำใจให้นิ่ง ปล่อยให้สิ่งต่างๆ ผ่านไปเพียงแต่เราต้องเก็บเกี่ยวความงามและความดีเอาไว้ในหัวใจเราเสมอ และเราก็จะพบสันติสุขในชีวิตสามารถที่จะส่งสันติสุขนี้ให้กับผู้อื่นที่ผ่านพบสืบต่อไป นี่ต่างหากคือคุณค่าที่แท้จริงของ “ความงามในชีวิต”

ไม่มีความคิดเห็น: