วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

เปิดใจให้แสงธรรมนำทาง

เปิดใจให้แสงธรรมนำทาง
            มีโอกาสไปเยือนย่างกุ้ง เมียนมาร์ (พม่า) อีกครั้งหลังจากที่เคยไปเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว เห็นความเปลี่ยนแปลงมีมากมาย โดยเฉพาะรถยนต์บนถนนที่มีมากขึ้น ทำให้การจรจรติดขัด การเดินทางจึงเป็นความโกลาหลพอสมควร เพราะถนนสร้างไม่พอ ประจวบกับรถยนต์ใช้พวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเรา แต่การขับขี่จะใช้เลนตรงข้ามกับบ้านเรา จึงเกิดอาการมึนงงเล็กน้อย มีสิ่งหนึ่งที่ยังเห็นอย่างค่อนข้างจะเหนียวแน่น คือเรื่องวัฒนธรรมที่ยังเห็นผู้คนใส่โสร่ง ไปทุกที่ทุกงาน และเรื่องความศรัทธาต่อศาสนาที่ยังมีให้เห็นอย่างมากมายตามวัดวาอารมต่างๆ นี่กระมังที่ยังคงทำให้ชาวเมืองย่างกุ้ง ยังคงมีใบหน้าที่เปี่ยมสุข

เคยสังเกตไหม เวลาเราพูดคุยกับคนที่มีความสุขเราจะเห็นความเปล่งปลั่งหลั่งออกมาทางใบหน้า ต่างกับคนที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ความเครียด ความโกรธเกลียดอาฆาตแค้น คนเหล่านั้นมักจะมีใบหน้าที่หม่นหมองและหลบซ่อนสายตาอยู่ตลอดเวลา เรามักเห็นคนเช่นนี้อยู่บ่อยๆ ในสังคมวันนี้ ต่างคนต่างรุ่มร้อน ใจร้อน ใจร้าย จนขาดสติควบคุมอารมณ์กันไม่ค่อยได้ และมักเห็นชีวิตคนอื่นไร้ค่าไม่อยู่ในสายตา คิดว่าในโลกนี้จะมีใครเก่งกว่าตนหามีไม่ ทำตัวเป็นเจ้าที่เจ้าถนน ใหญ่คับฟ้า คนเช่นนี้มักมีมุมมีพื้นที่ของตัวเอง โดยคิดว่านั่นคือจักรวาลอันไพศาล ยึดมั่นในความคิดอุดมการณ์ที่เกินขนาด ความคิดของตัวเองคือ สิ่งที่ถูกทุกข้อ หากไม่ได้ดั่งใจไฟในใจต้องลุกโชนพวยพุ่งออกมา การใช้ชีวิตแบบนี้หาความสุขมิได้เลย และมักมองข้ามสิ่งที่งดงามที่สุดในชีวิตไปครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็เฝ้าตามหาความงดงามตามใจฝันแบบไม่มีวันจะพบเจอ เหมือนดังเช่นชายคนนี้
นานมาแล้วมีชายคนหนึ่งชื่อ ว่า ทิฐิ เขาเป็นคนที่มีนิสัยอวดดื้อถือดี ไม่ต่างจากชื่อ เพราะเมื่อได้ลองเชื่อมั่นในสิ่งใดแล้ว ทิฐิคนนี้ก็จะยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นไม่เปลี่ยน และจะไม่ยอมรับฟังข้อคิดเห็นที่ผิดไปจากความเชื่อเดิมโดยเด็ดขาด บางครั้งเขาก็ดื้อรั้นมากเกินไปจนขาดเหตุผล และทำให้สูญเสียสิ่งดีๆ ในชีวิตไปมากมาย โดยที่เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน
วันหนึ่งทิฐิตัดสินใจเดินทางไปยังที่ต่างๆ การท่องโลกกว้างของทิฐิน่าจะทำให้เขามีความรู้ดีๆ หรือเกิดทัศนคติใหม่ๆ ขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อไรก็ตามที่มีคนกล่าวคำซึ่งผิดไปจากความรู้หรือความเชื่อมั่นเดิมของเขา ทิฐิก็จะรีบกล่าวแก่คนๆ นั้นทันทีว่า “นั่นไม่ถูกเลยนะ ที่จริงแล้วมันต้องเป็นดังที่ข้ารู้มาต่างหาก”
สิ่งนี้เองทำให้การเดินทางไปทั่วโลกของเขา แทบจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดขึ้นในชีวิตของเขาเลย กระทั่งวันหนึ่งทิฐิได้พลัดหลงเข้าไปในดินแดนแห่งทะเลทรายอันแสนแห้งแล้ง และไร้ผู้คนสัญจร เขาหลงทางอยู่ในดินแดนแห่งนั้นสามวันสามคืน จนกระทั่งอาหาร และน้ำดื่มร่อยหรอและหมดลงในที่สุด เดินต่อไปไม่ไหว เขาล้มลงนอนบนผืนทรายอย่างคนสิ้นเรี่ยวแรง แต่ทิฐิยังไม่อยากตายตอนนี้ ดังนั้นแม้ร่างกายจะอ่อนระโหยโรยแรงขนาดไหน แต่เขาก็รวบรวมพลังใจของตนเฝ้ากล่าวคำภาวนาขอความเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ช่วยเหลือเขาด้วย
“ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดเมตตาข้า ผู้ซึ่งไม่เคยเบียดเบียนใคร ขอทรงประทานน้ำมาให้ข้าได้รักษาชีวิตของตนเองไว้ แม้เพียงหนึ่งหยดก็ยังดี”  แล้วในตอนนั้นเอง ทิฐิก็เห็นชายแปลกหน้าชาวเยอรมันคนหนึ่งเดินตรงมาหาเขา ทิฐิดีใจสุดจะกล่าว แล้วรีบพูดขึ้นทันทีว่า “โอ...ท่านผู้เป็นความหวังของข้า โปรดแบ่งน้ำของท่านให้ข้าดื่มด้วยเถิด” ชายคนนั้นยื่นถุงหนังสีน้ำตาลในมือให้แก่ทิฐิ แล้วกล่าวว่า “นี่คือ วาสซ่าร์ จงดื่มเสียสิ”
แต่ทิฐิไม่อยากได้วาสซ่าร์ เขาอยากได้น้ำ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธที่จะรับถุงหนังสีน้ำตาลจากชายแปลกหน้าคนนั้น ชายคนนั้นจึงเดินจากไป
ทิฐิภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง คราวนี้มีชายชาวจีนคนหนึ่งเดินถือถุงหนังสีแดงเข้ามายื่นให้แก่ทิฐิ “นี่คือ น้ำ ใช่หรือไม่”  ทิฐิถามชายชาวจีน “นี่คือ ซือจุ้ย จงดื่มเสียสิ” ชายชาวจีนตอบ
ทิฐิรู้สึกไม่พอใจ ตอนนี้เขากระหายน้ำมากเหลือเกินแล้ว แต่ทำไมชายผู้นี้จึงนำซือจุ้ย มามอบให้แก่เขาเล่า ทิฐิจึงปฏิเสธถุงหนังสีแดงของชายชาวจีน ชายชาวจีนจึงเดินจากไป
ทิฐิเริ่มภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีก และครั้งนี้มีผู้หญิงชาวอินเดียคนหนึ่งมาปรากฏกายตรงหน้าของเขาในแทบจะทันที “เธอผู้มีใจเมตตา ขอน้ำให้ข้าดื่มหน่อยเถิด” ทิฐิพึมพำคำอ้อนวอนออกจากริมฝีปากที่แห้งผาก “นี่คือ ปานี จงดื่มเสียสิ” หญิงชาวอินเดียกล่าวพร้อมกับยื่นถุงหนังสีเขียวให้กับทิฐิ แต่นั่นทำให้ทิฐิโกรธมาก เขารวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ยกแขนปัดถุงหนังสีเขียวให้พ้นหน้า แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ข้าไม่เอาของๆ เจ้า ข้าจะตายเพราะขาดน้ำอยู่แล้ว ข้าต้องการน้ำเท่านั้น!”
หญิงอินเดียเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เดินจากไปอีกคน ทิฐิเฝ้าอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีใครนำอะไรมายื่นให้เขาอีกแล้ว
จิตของทิฐิกำลังหลุดลอยออกจากร่างที่ใกล้แตกดับ แล้วในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังแว่วๆ ให้ได้ยินว่า “ทิฐิคนถือดีเอ๋ย เราช่วยเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่เคยให้โอกาสตนเองเลย หากเจ้าเปิดใจให้กว้าง และยอมรับในข้อดีของสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเสียบ้าง เจ้าก็คงรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในถุงหนังทั้งสามนั้น ต่างก็เป็นน้ำดื่มบริสุทธิ์ทั้งสิ้น” เมื่อสิ้นเสียงแว่วนั้น ทิฐิคนถือดีก็สิ้นลมหายใจทันที (ที่มา: สำนักพิมพ์ฟรีมายด์ ชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา)
 ภาพ : http://www.amicidilazzaro.it/wp-content/uploads/2016/03/pasqua1-300x194.jpg

ใช่หรือไม่ หากเราข้ามผ่านอคติของเราได้ และเปิดหัวใจรับสิ่งรอบตัวด้วยหัวใจแห่งรักและเมตตา เราจะเห็นแสงทองที่ทอประกายสวยงามยามตื่น เราจะมีแสงธรรมนำทางยามล้มตัวลงนอน เปลี่ยนอคติให้กลายเป็นทัศนคติที่ดี หามุมมองที่ดีของบุคคล ของสิ่งรอบตัวเรา ความสุขแห่งชีวิตใหม่ แห่งวันใหม่ก็จะปรากฏบนใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส หากเราเปิดหัวใจให้แสงธรรมนำทางบ้าง เราจะพบกับปาสกาในชีวิตของเราได้เสมอๆ

ไม่มีความคิดเห็น: