อีกฟากฝั่งหนึ่ง
ในขณะที่ขับรถเข้าเมืองหลวงหลังจากกลับจากบ้านเกิดถิ่นเก่า
โดยคิดเอาเองว่าในเวลาช่วงบ่ายวันอาทิตย์ถนนน่าจะว่าง เพราะเป็นวันหยุด
แต่ที่ไหนได้บนทางด่วนกลายเป็นทางด้วน เป็นลานจอดรถไปเสียอย่างนั้น
มองข้ามไปยังฝั่งตรงกันข้าม เห็นถนนโล่งรถราวิ่งขับเคลื่อนกันอย่างคล่องดี
บางทีก็คิดนะ ทำไมฝั่งเราไม่เป็นอย่างนั้นบ้าง ทำไมรถถึงมาจอดรวมกันอยู่นี่
ทำไมไม่พากันไปวิ่งอีกฝั่งบ้าง จะไปไหนกันนักหนา!!!!
ก็ไปเหมือนที่เราจะไปนั่นแหละอีกเสียงหนึ่งดังย้อนแย้งขึ้นมาเพื่อย้ำเตือนความจริง
คือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าเราในขณะนี้ ใช่หรือไม่ในชีวิตจริงของเรา มักจะบ่นกับเรื่องที่เราไม่ได้ดั่งใจ
มักจะกล่าวโทษนี่โทษนั่นไปเรื่อย
สุดท้ายก็มักจะหาใครสักคนมาเป็นคนรับความกดดันนี้ไปแทนเรา เรามักไม่ค่อยจะกล่าวโทษตัวเอง
ไม่ไตร่ตรองกรองความคิดให้ถี่ถ้วน จริงหรือเปล่าบางครั้งเรามักบ่นและตัดพ้อกับความมีที่ขาดหายไปนิดหน่อย
เรามักกล่าวโทษความไม่สมบูรณ์ในความพูนผล
เรามักเอาตัวเองเป็นตัวตั้งและหาผู้อื่นมาเป็นตัวหารเพียงเพื่อผลออกมาให้เป็นที่พอใจเรา
ทั้งๆที่หลายเรื่อง หลายโอกาส ที่เราได้รับมากกว่าคนอื่น แต่เรามักไม่พอใจ
เพราะความอยากได้อยากมีที่มากล้น
เมื่อเราไม่ได้ดั่งใจหวัง
ก็มักจะเอาคนที่มีมากกว่า เอาคนที่เราคิดว่าเขาประสบความสำเร็จมาเปรียบเทียบ
จากที่เคยมุ่งมั่นก็กลายเป็นเครื่องบั่นทอนพลังกายพลังใจลงไป ยิ่งเมื่อเรามีแล้วไปเปรียบกับคนที่มีกว่า
ก็จะเกิดความรู้สึกขาดขึ้นมาทันที แต่ถ้าเราลองมองดูคนที่เขายังขาดยังมีไม่เหมือนเราดูบ้าง
เราจะพบความมหัศจรรย์ในชีวิต
เราจะรู้ทันทีว่าเรามีอะไรต่อมิอะไรมิใช่น้อยเลยทีเดียว
ลองมาเพิ่มพลังใจในการไตร่ตรองกับสิ่งเหล่านี้ดู
หากเราไม่อาจหลับใหลในยามราตรี...
ใคร่ครวญให้ดี ยังมีผู้ไร้แม้ที่ซุกหัวนอน ไม่ต้องรันทด
หากอยู่ในรถที่ติดไปไหนไม่ได้...
เพราะมีคนอีกมากมายที่ไม่เคยมีแม้โอกาสได้นั่งรถ
หากวันนี้มีงานที่กวนใจเรามาก...
คิดเสียว่า ยังไม่ลำบากเท่าคนที่ตกงานนานกว่าสามเดือนแล้ว
ยามเมื่อความสัมพันธ์สะบั้นลง...
อย่าเพิ่งปลง เพราะยังดีกว่าผู้ที่ไม่เคยรู้จักรัก
อย่าอาวรณ์ตอนสุดสัปดาห์จะผ่านพ้น...
จงคิดถึงคนหาเช้ากินค่ำ ไม่มีวันหยุดพัก เพียงเพื่อจักยังชีพ
แม้ต้องเดินเสียไกลลิบ
เพื่อขอความช่วยเหลือยามรถเสีย... ให้นึกถึงผู้ที่เป็นอัมพาตอยากอาสาเดินแทน
หากส่องกระจกพบผมหงอกเพิ่มมาอีกเส้น...
จงอย่าลืมผู้ป่วยเคมีบำบัดที่หวังเพียงว่าผมจะงอกได้อีก
ยามโชคร้ายแทบหมดอาลัยตายอยาก...
จงดีใจเถิดเพราะยังมีโอกาสดีกว่าผู้ที่ตายไปก่อนเวลาอันสมควร
หากต้องทนให้ผู้อื่นระบายทุกข์ใส่...
ขอให้ระลึกว่าจะแย่กว่าเป็นไหนๆ ถ้าต้องเป็นทุกข์นั้นเสียเอง
มองต่างมุมในด้านบวกอาจเป็นเครื่องช่วยเตือนว่า
ชีวิตนี้ยังมีสิ่งสวยงามและมีเรื่องน่าพิศมัยอีกมากมาย เครดิต : หนึ่งเดียว
หลุดพ้น
การมองมุมที่แตกต่างจากเรา
นำความไม่มีมาเป็นเครื่องคัดกรองจะทำให้เราเกิดความสุขขึ้นมาบ้าง
และวิธีที่จะทำให้เรามีความสุขอย่างยั่งยืนได้นั้น
เราต้องเรียนรู้ที่จะจัดการภายในจิตใจเราแต่ละคน ไม่มีใครในโลกนี้สมบูรณ์แบบ
มีทั้งข้อดีและข้อเสียเราก็เช่นกัน มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
แต่อย่างไรก็ตามต้องคำนึงในศักยภาพว่าเรายังเป็นคนที่ใช้ได้ มีคุณค่า มีประโยชน์
พยายามรักษาข้อดี และปรับปรุงข้อเสีย ลดจุดอ่อน ลดจุดบกพร่องลง
และยอมรับตนเองในแบบที่ตนเองเป็น ไม่ต้องมีชีวิตแบบพยายามวิ่งหนีหรือกลบจุดอ่อน
ปมด้อยตัวเอง ด้วยการเอาชนะคนอื่น นำหน้าคนอื่น อยู่เหนือผู้อื่น
แค่นี้...ความจำเป็นที่จะต้องไขว่คว้าหาความมั่นคงจากปัจจัยภายนอกก็น้อยลง
ชีวิตก็จะเรียบง่ายขึ้น หาความสุขได้ง่ายขึ้น
ความต้องการแก่งแย่งแข่งขันก็น้อยลง มองโลกแง่บวกได้ง่ายขึ้น โกรธยากขึ้น
ให้อภัยกันได้ง่ายขึ้น ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันง่ายขึ้น
แต่สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจ ฝึกฝนปฏิบัติทบทวนเตือนสติตนเองเสมอๆ
มีความอดทนและความมุ่งมั่นอย่างสูงจึงจะสำเร็จ โลกใบนี้ก็จะกลับมาน่าอยู่เหมือนเดิมได้
ความจริงในอีกฟากฝั่งหนึ่ง
มีไม่น้อยเลยที่ไม่เคยยกย่องความพร่องน้อยของคนอื่น แต่กลับนำไปดูถูกดูแคลน
และยกตัวเองขึ้นเพื่อให้เหนือกว่าคนด้อยเหล่านั้นโดยที่พวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะพูด
ที่จะกล่าวอะไรด้วยซ้ำไป ในยุคที่คิดกันว่าเราดีเราเก่ง ไม่ต้องเกรงใจใคร
ไม่ต้องให้เกียรติยกย่องใคร มีแต่เรียกร้องให้ผู้อื่นมาพินอบพิเทาคุกเข่ากราบไหว้
เราจึงเห็นการแข่งขันที่ไร้ขอบเขต ที่ไม่สนใจความถูกผิด ที่ไม่นำพาเรื่องจริยธรรม
พร้อมที่จะเข้าขย้ำผู้ที่พลาดพลั้ง จิตใจไร้เมตตาเอาแต่ได้ ชอบนำกฎเกณฑ์เป็นเครื่องมือขึ้นสู่ความเป็นที่หนึ่ง
เช่นนี้แล้วชีวิตในแต่ละวันของแต่ละคนจะพบกับสันติสุขได้อย่างไร?
แม้จะนั่งสำราญอยู่บนยอดสูงสุดก็ดูโดดเดี่ยว
แม้จะอยู่ท่ามกลางเสียงปรบมือก็แค่พิธีการเพียงชั่วครู่ ความสุขใจอยู่ที่ไหน
ใช่อยู่ที่การน้อมยอมรับความเป็นอยู่อย่างที่เราเป็น อยู่ที่พร้อมจะให้อภัยกัน
อยู่ที่คอยใส่ใจกัน เคารพยกย่องกันอย่างจริงใจ
สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะนำสันติสุขมาสู่ช่วงเวลาแห่งลมหายใจเข้าออกได้
“ถ้าเราน้อมยอมรับว่าเรายังเป็นคนบาปอยู่
หัวใจของเราก็จะเปิดรับพระเมตตาของพระเจ้าและเราจะกลับมาเป็นผู้มีความเชื่ออีกครั้งก้าวแรกที่จะนำไปสู่ความซื่อสัตย์คือการยอมรับว่าเราเป็นคนบาป
ถ้าเราไม่ยอมรับว่าเราเป็นคนบาป เราก็เริ่มต้นไม่ดีแล้ว
เราต้องวอนขอพระหรรษทานเพื่อให้หัวใจของเราไม่แข็งกระด้าง
และต้องวอนขอพระหรรษทานของการให้อภัยด้วย” บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น