วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559

อีกฟากฝั่งหนึ่ง

อีกฟากฝั่งหนึ่ง
ในขณะที่ขับรถเข้าเมืองหลวงหลังจากกลับจากบ้านเกิดถิ่นเก่า โดยคิดเอาเองว่าในเวลาช่วงบ่ายวันอาทิตย์ถนนน่าจะว่าง เพราะเป็นวันหยุด แต่ที่ไหนได้บนทางด่วนกลายเป็นทางด้วน เป็นลานจอดรถไปเสียอย่างนั้น มองข้ามไปยังฝั่งตรงกันข้าม เห็นถนนโล่งรถราวิ่งขับเคลื่อนกันอย่างคล่องดี บางทีก็คิดนะ ทำไมฝั่งเราไม่เป็นอย่างนั้นบ้าง ทำไมรถถึงมาจอดรวมกันอยู่นี่ ทำไมไม่พากันไปวิ่งอีกฝั่งบ้าง จะไปไหนกันนักหนา!!!! ก็ไปเหมือนที่เราจะไปนั่นแหละอีกเสียงหนึ่งดังย้อนแย้งขึ้นมาเพื่อย้ำเตือนความจริง คือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าเราในขณะนี้ ใช่หรือไม่ในชีวิตจริงของเรา มักจะบ่นกับเรื่องที่เราไม่ได้ดั่งใจ มักจะกล่าวโทษนี่โทษนั่นไปเรื่อย สุดท้ายก็มักจะหาใครสักคนมาเป็นคนรับความกดดันนี้ไปแทนเรา เรามักไม่ค่อยจะกล่าวโทษตัวเอง ไม่ไตร่ตรองกรองความคิดให้ถี่ถ้วน จริงหรือเปล่าบางครั้งเรามักบ่นและตัดพ้อกับความมีที่ขาดหายไปนิดหน่อย เรามักกล่าวโทษความไม่สมบูรณ์ในความพูนผล เรามักเอาตัวเองเป็นตัวตั้งและหาผู้อื่นมาเป็นตัวหารเพียงเพื่อผลออกมาให้เป็นที่พอใจเรา ทั้งๆที่หลายเรื่อง หลายโอกาส ที่เราได้รับมากกว่าคนอื่น แต่เรามักไม่พอใจ เพราะความอยากได้อยากมีที่มากล้น

เมื่อเราไม่ได้ดั่งใจหวัง ก็มักจะเอาคนที่มีมากกว่า เอาคนที่เราคิดว่าเขาประสบความสำเร็จมาเปรียบเทียบ จากที่เคยมุ่งมั่นก็กลายเป็นเครื่องบั่นทอนพลังกายพลังใจลงไป ยิ่งเมื่อเรามีแล้วไปเปรียบกับคนที่มีกว่า ก็จะเกิดความรู้สึกขาดขึ้นมาทันที แต่ถ้าเราลองมองดูคนที่เขายังขาดยังมีไม่เหมือนเราดูบ้าง เราจะพบความมหัศจรรย์ในชีวิต เราจะรู้ทันทีว่าเรามีอะไรต่อมิอะไรมิใช่น้อยเลยทีเดียว ลองมาเพิ่มพลังใจในการไตร่ตรองกับสิ่งเหล่านี้ดู
หากเราไม่อาจหลับใหลในยามราตรี... ใคร่ครวญให้ดี ยังมีผู้ไร้แม้ที่ซุกหัวนอน ไม่ต้องรันทด
หากอยู่ในรถที่ติดไปไหนไม่ได้... เพราะมีคนอีกมากมายที่ไม่เคยมีแม้โอกาสได้นั่งรถ
หากวันนี้มีงานที่กวนใจเรามาก... คิดเสียว่า ยังไม่ลำบากเท่าคนที่ตกงานนานกว่าสามเดือนแล้ว
ยามเมื่อความสัมพันธ์สะบั้นลง... อย่าเพิ่งปลง เพราะยังดีกว่าผู้ที่ไม่เคยรู้จักรัก
อย่าอาวรณ์ตอนสุดสัปดาห์จะผ่านพ้น... จงคิดถึงคนหาเช้ากินค่ำ ไม่มีวันหยุดพัก เพียงเพื่อจักยังชีพ
แม้ต้องเดินเสียไกลลิบ เพื่อขอความช่วยเหลือยามรถเสีย... ให้นึกถึงผู้ที่เป็นอัมพาตอยากอาสาเดินแทน
หากส่องกระจกพบผมหงอกเพิ่มมาอีกเส้น... จงอย่าลืมผู้ป่วยเคมีบำบัดที่หวังเพียงว่าผมจะงอกได้อีก
ยามโชคร้ายแทบหมดอาลัยตายอยาก... จงดีใจเถิดเพราะยังมีโอกาสดีกว่าผู้ที่ตายไปก่อนเวลาอันสมควร
หากต้องทนให้ผู้อื่นระบายทุกข์ใส่... ขอให้ระลึกว่าจะแย่กว่าเป็นไหนๆ ถ้าต้องเป็นทุกข์นั้นเสียเอง
มองต่างมุมในด้านบวกอาจเป็นเครื่องช่วยเตือนว่า ชีวิตนี้ยังมีสิ่งสวยงามและมีเรื่องน่าพิศมัยอีกมากมาย เครดิต : หนึ่งเดียว หลุดพ้น
การมองมุมที่แตกต่างจากเรา นำความไม่มีมาเป็นเครื่องคัดกรองจะทำให้เราเกิดความสุขขึ้นมาบ้าง และวิธีที่จะทำให้เรามีความสุขอย่างยั่งยืนได้นั้น เราต้องเรียนรู้ที่จะจัดการภายในจิตใจเราแต่ละคน ไม่มีใครในโลกนี้สมบูรณ์แบบ มีทั้งข้อดีและข้อเสียเราก็เช่นกัน มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่อย่างไรก็ตามต้องคำนึงในศักยภาพว่าเรายังเป็นคนที่ใช้ได้ มีคุณค่า มีประโยชน์ พยายามรักษาข้อดี และปรับปรุงข้อเสีย ลดจุดอ่อน ลดจุดบกพร่องลง และยอมรับตนเองในแบบที่ตนเองเป็น ไม่ต้องมีชีวิตแบบพยายามวิ่งหนีหรือกลบจุดอ่อน ปมด้อยตัวเอง ด้วยการเอาชนะคนอื่น นำหน้าคนอื่น อยู่เหนือผู้อื่น แค่นี้...ความจำเป็นที่จะต้องไขว่คว้าหาความมั่นคงจากปัจจัยภายนอกก็น้อยลง ชีวิตก็จะเรียบง่ายขึ้น หาความสุขได้ง่ายขึ้น  ความต้องการแก่งแย่งแข่งขันก็น้อยลง มองโลกแง่บวกได้ง่ายขึ้น โกรธยากขึ้น ให้อภัยกันได้ง่ายขึ้น ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันง่ายขึ้น แต่สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจ ฝึกฝนปฏิบัติทบทวนเตือนสติตนเองเสมอๆ มีความอดทนและความมุ่งมั่นอย่างสูงจึงจะสำเร็จ โลกใบนี้ก็จะกลับมาน่าอยู่เหมือนเดิมได้

ความจริงในอีกฟากฝั่งหนึ่ง มีไม่น้อยเลยที่ไม่เคยยกย่องความพร่องน้อยของคนอื่น แต่กลับนำไปดูถูกดูแคลน และยกตัวเองขึ้นเพื่อให้เหนือกว่าคนด้อยเหล่านั้นโดยที่พวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะพูด ที่จะกล่าวอะไรด้วยซ้ำไป ในยุคที่คิดกันว่าเราดีเราเก่ง ไม่ต้องเกรงใจใคร ไม่ต้องให้เกียรติยกย่องใคร มีแต่เรียกร้องให้ผู้อื่นมาพินอบพิเทาคุกเข่ากราบไหว้ เราจึงเห็นการแข่งขันที่ไร้ขอบเขต ที่ไม่สนใจความถูกผิด ที่ไม่นำพาเรื่องจริยธรรม พร้อมที่จะเข้าขย้ำผู้ที่พลาดพลั้ง จิตใจไร้เมตตาเอาแต่ได้ ชอบนำกฎเกณฑ์เป็นเครื่องมือขึ้นสู่ความเป็นที่หนึ่ง เช่นนี้แล้วชีวิตในแต่ละวันของแต่ละคนจะพบกับสันติสุขได้อย่างไร? แม้จะนั่งสำราญอยู่บนยอดสูงสุดก็ดูโดดเดี่ยว แม้จะอยู่ท่ามกลางเสียงปรบมือก็แค่พิธีการเพียงชั่วครู่ ความสุขใจอยู่ที่ไหน ใช่อยู่ที่การน้อมยอมรับความเป็นอยู่อย่างที่เราเป็น อยู่ที่พร้อมจะให้อภัยกัน อยู่ที่คอยใส่ใจกัน เคารพยกย่องกันอย่างจริงใจ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะนำสันติสุขมาสู่ช่วงเวลาแห่งลมหายใจเข้าออกได้

“ถ้าเราน้อมยอมรับว่าเรายังเป็นคนบาปอยู่ หัวใจของเราก็จะเปิดรับพระเมตตาของพระเจ้าและเราจะกลับมาเป็นผู้มีความเชื่ออีกครั้งก้าวแรกที่จะนำไปสู่ความซื่อสัตย์คือการยอมรับว่าเราเป็นคนบาป ถ้าเราไม่ยอมรับว่าเราเป็นคนบาป เราก็เริ่มต้นไม่ดีแล้ว เราต้องวอนขอพระหรรษทานเพื่อให้หัวใจของเราไม่แข็งกระด้าง และต้องวอนขอพระหรรษทานของการให้อภัยด้วย” บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส

ไม่มีความคิดเห็น: