วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2559

บนเส้นทางความทรงจำ

บนเส้นทางความทรงจำ
ในขณะที่กำลังนั่งดื่มกาแฟยามเช้า ก็มีสมุดเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งถูกยื่นมาให้อ่าน เป็นบันทึกจากเพื่อนถึงเพื่อน เป็นความรู้สึกของการจากลากันระหว่างเพื่อนที่เคยเรียน เคยเล่นมาด้วยกันตั้งแต่ชั้นอนุบาลจวบจนวันหนึ่งต้องลาจากกันไป เพื่อสู่สถานที่ใหม่ โรงเรียนใหม่ เพื่อเริ่มต้นใช้ชีวิตในรูปแบบที่ต่างไปจากเดิม ในตอนท้ายของบทบันทึกนี้ถูกเขียนไว้ว่า “เพื่อน...ไม่จำเป็นต้องรวย ไม่จำเป็นต้องเรียนเก่ง ไม่จำเป็นต้องสวย เพียงแต่ขอให้เพื่อน...คนนั้นเป็นคนดี และไม่ลืมกัน ไม่ทิ้งกัน แค่นั้นฉันก็มีความสุขที่สุดแล้ว”
คงไม่แปลกอะไรที่ช่วงนี้เราจะเห็นเด็กๆ หลายคนตกอยู่ในสภาวะซึมๆเศร้าๆ เห็นน้ำตาจากการอำลาในวันปัจฉิมนิเทศ เห็นบทกลอนบทพรรณาในสมุดเฟรนด์ชิพโดยเฉพาะกับเด็กชั้นมัธยม เพราะเป็นช่วงชีวิตที่มีความผูกพันกับเพื่อนมากที่สุด แม้ว่าในขณะอยู่ร่วมชั้นเรียนกันจะมีโกรธ มีทะเลาะ มีงอนกันบ้าง แต่ในวันสุดท้ายของการอยู่ด้วยกันจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการโหยหาที่ไม่อยากจะให้มี ไม่อยากจะเจอ แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตต้องดำเนินเดินหน้ากันต่อไป ถือว่าเป็นการเรียนรู้อีกบทหนึ่งของชีวิตจริงที่ต้องพานพบกับเรื่องการจากลาได้เสมอซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคย ไกลห่างจากชีวิต ความเป็นมนุษย์ของเราเลย ทุกวันนี้เรามีชีวิตกันอยู่ ในแต่ละวันล้วนต้องผ่านและพบเจอกับการจากลาที่ไม่จบไม่สิ้น ทั้งการจากลาตลอดไปหรือ แม้แต่การจากลาชั่วคราว
มีพบก็มีพรากจากเป็นความจริงที่เด็กๆ คงต้องเรียนรู้กันต่อไป ในช่วงอายุหนึ่งเราก็ต้องพบกับการจากลาแบบไม่มีวันพบหน้ากันได้อีกในโลกนี้ ซึ่งมันเจ็บปวดสำหรับเหตุการณ์นี้ถ้าได้เกิดขึ้นกับเรา และแน่นอนที่สุดเราทุกคนก็มิอาจจะหลีกหนีความระทมทุกข์แบบนี้บนเส้นทางชีวิตได้เลย ในขณะเดียวกันเราก็ใช้การจากลาแบบสั้นๆ การจากลาแบบชั่วคราว เป็นเครื่องฝึกฝนให้ทนต่อการร่ำลาตลอดไปของกันและกัน
การจากลาชั่วคราว มักเกิดขึ้นในชีวิตเราเสมอๆ  อาจเป็นการจากไปเพื่อศึกษาต่อ ยังมีวันกลับมาพบกันอีก ยิ่งในยุคสมัยใหม่การติดต่อสื่อสารกันง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส โอกาสที่จะสานสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนย่อมเป็นไปได้ง่ายกว่าสมัยก่อนหรืออาจเป็นการจากของคนที่โยกย้ายถิ่นฐานไปตั้งหลักแหล่งอยู่แห่งใหม่ การจากลาแบบนี้ยังมีโอกาสได้พบประสบเจอกันอีกแต่อาจพบกันในสถานที่อื่นหรือโอกาสอื่นการจากลาก็นำมาซึ่งการเรียนรู้ชีวิตมากขึ้น ทำให้เราเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับการเปลี่ยนแปลงนั้นให้ได้
การพบและการจาก”  เราห้ามไม่ได้ แต่เราสามารถกำหนดท่าทีของเราต่อ การพบและการจากได้ และท่าทีนี้แหละที่จะเป็นกรอบช่วยให้เราปฏิบัติต่อสิ่งหรือบุคคลที่เราพบได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่ก่อความเสียหายหรือก่อให้เกิดความทุกข์ในภายหลัง และเป็นกรอบช่วยให้เราสามารถยอมรับ และทำใจได้ในที่สุด
เมื่อต้องจาก สิ่งของหรือ บุคคลที่เรารัก เราเคารพ เรานับถือ เราประทับใจ คนที่เรียนรู้วิธิปฏิบัติต่อ การพบและ การจากได้อย่างดี ย่อมสามารถอยู่ร่วมกับการพบและการจากได้อย่างสงบสุข ไม่กระวนกระวายจนเกินไป อีกทั้งยังสามารถใช้การพบและการจากนั้นเป็นครูของชีวิตได้ตลอดเวลาอีกด้วย ใช่หรือไม่ สายใยระหว่างการพบและการจาก คือ ความทรงจำอันงดงาม
ทุกครั้งที่มีการจากลา เรามักจะคุ้นเคยกับคำว่า เริ่มต้นใหม่ด้วยเสมอ คล้ายกับว่าการจากลา คือสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นของเราทุกคน เริ่มต้นใหม่กับสิ่งใหม่ๆ ที่จะเปลี่ยนชีวิตเราคนเดิม แม้กระทั่งในการทำงานเราจำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่บ้าง ถ้าหากสิ่งใหม่นั้นมันจะทำให้เราเก่งขึ้น ทำให้เราพัฒนาสู่ความชำนาญมากขึ้น ในการใช้ชีวิตก็เช่นกัน เราจำเป็นต้องมีสังคมใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาบ้าง เพื่อเป็นการเปิดโลกกว้างให้กับตัวเองเป็นการเริ่มต้นกับชีวิตที่จะเติบโตขึ้น เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตบนโลกกว้างและเป็นการใช้พระพรแห่งความช่วยเหลือกันและกัน การจากตอนเป็นทำให้เห็นน้ำใจ การจากตอนตายทำให้เห็นน้ำตา
ในขณะที่เรายังมีชีวิตการมอบน้ำใจมีเมตตาต่อกันเป็นสิ่งที่จะนำความงดงามของการอยู่ร่วมกัน นำมาซึ่งสันติสุข บนเส้นทางชีวิตเรามักจะพบกับการเปลี่ยนแปลง มีผู้คนมีเพื่อนใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตเราได้เสมอ บางคนอาจจะกลายเป็นเพื่อนกันตลอดจวบจนสิ้นลมหายใจ บางคนกลายเป็นคนข้างกายที่ก้าวเดินไปด้วยกันในทุกวัน เมื่อเติบโตขึ้นเราก็จะพบกับมิตรภาพที่ยั่งยืนมากขึ้น แม้ว่าจะมีเพื่อนฝูงน้อยลง และถือว่าเป็นโชคดีที่ชีวิตหนึ่งเราจะมีเพื่อนที่ดีที่สุด และพร้อมอยู่กับเราในทุกสถานการณ์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรา เราได้เดินไปบนเส้นทางอย่างไม่โดดเดี่ยว

บนเส้นทางชีวิตที่ไม่ยาวไกลเราต้องเป็นใครสักคนให้กับผู้อื่นบ้าง เพื่อปลอบโยน เพื่อช่วยผ่อนคลายระบายความทุกข์ อย่าได้ใช้ชีวิตแบบฝูงชนคนที่เข้าไปต้อนรับพระเยซูเจ้าในเส้นทางสู่กรุงเยรูซาเล็มเลย อย่าใช้ชีวิตโดยใช้กระแสพาไปเพื่อพบเจอสิ่งใหม่ๆ แบบไม่จริงใจ แล้วก็จากกันไปแบบไม่มีเยื่อใย เราต้องเติบโตขึ้นพร้อมที่จะทุกข์จะสุขไปด้วยกันบนเส้นทางมิตรภาพ ไม่ทอดทิ้งกัน อย่าปล่อยให้คนที่เรารักต้องทนทุกข์อยู่ฝ่ายเดียว จดจำมือที่เคยเกาะเกี่ยว จดจำวงแขนที่เคยโอบไหล่ จดจำเสียงหัวเราะ จดจำความรักความผูกพันเอาไว้เพื่อให้เราก้าวสู่วันใหม่ สู่การเติบโตของชีวิตสู่การพัฒนาจิตวิญญาณ สิ่งนี้คือสิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการมากที่สุด อย่าทำให้การทนทุกข์ของพระองค์ต้องสูญเปล่า อย่าให้การจากไปของพระองค์สูญสลายไปอย่างไร้คุณค่า  หากแต่คือความทรงจำที่ใช้ย้ำเตือนเราบนเส้นทางของความเปลี่ยนแปลงในชีวิตว่า “เราจะมีชีวิตเพื่อกันและกัน

ไม่มีความคิดเห็น: