บนเส้นทางความทรงจำ
ในขณะที่กำลังนั่งดื่มกาแฟยามเช้า
ก็มีสมุดเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งถูกยื่นมาให้อ่าน เป็นบันทึกจากเพื่อนถึงเพื่อน
เป็นความรู้สึกของการจากลากันระหว่างเพื่อนที่เคยเรียน
เคยเล่นมาด้วยกันตั้งแต่ชั้นอนุบาลจวบจนวันหนึ่งต้องลาจากกันไป
เพื่อสู่สถานที่ใหม่ โรงเรียนใหม่ เพื่อเริ่มต้นใช้ชีวิตในรูปแบบที่ต่างไปจากเดิม
ในตอนท้ายของบทบันทึกนี้ถูกเขียนไว้ว่า “เพื่อน...ไม่จำเป็นต้องรวย
ไม่จำเป็นต้องเรียนเก่ง ไม่จำเป็นต้องสวย
เพียงแต่ขอให้เพื่อน...คนนั้นเป็นคนดี และไม่ลืมกัน ไม่ทิ้งกัน
แค่นั้นฉันก็มีความสุขที่สุดแล้ว”
คงไม่แปลกอะไรที่ช่วงนี้เราจะเห็นเด็กๆ
หลายคนตกอยู่ในสภาวะซึมๆเศร้าๆ เห็นน้ำตาจากการอำลาในวันปัจฉิมนิเทศ
เห็นบทกลอนบทพรรณาในสมุดเฟรนด์ชิพโดยเฉพาะกับเด็กชั้นมัธยม
เพราะเป็นช่วงชีวิตที่มีความผูกพันกับเพื่อนมากที่สุด
แม้ว่าในขณะอยู่ร่วมชั้นเรียนกันจะมีโกรธ มีทะเลาะ มีงอนกันบ้าง แต่ในวันสุดท้ายของการอยู่ด้วยกันจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการโหยหาที่ไม่อยากจะให้มี
ไม่อยากจะเจอ แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตต้องดำเนินเดินหน้ากันต่อไป
ถือว่าเป็นการเรียนรู้อีกบทหนึ่งของชีวิตจริงที่ต้องพานพบกับเรื่องการจากลาได้เสมอซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคย
ไกลห่างจากชีวิต ความเป็นมนุษย์ของเราเลย ทุกวันนี้เรามีชีวิตกันอยู่
ในแต่ละวันล้วนต้องผ่านและพบเจอกับการจากลาที่ไม่จบไม่สิ้น
ทั้งการจากลาตลอดไปหรือ แม้แต่การจากลาชั่วคราว
มีพบก็มีพรากจากเป็นความจริงที่เด็กๆ
คงต้องเรียนรู้กันต่อไป
ในช่วงอายุหนึ่งเราก็ต้องพบกับการจากลาแบบไม่มีวันพบหน้ากันได้อีกในโลกนี้
ซึ่งมันเจ็บปวดสำหรับเหตุการณ์นี้ถ้าได้เกิดขึ้นกับเรา
และแน่นอนที่สุดเราทุกคนก็มิอาจจะหลีกหนีความระทมทุกข์แบบนี้บนเส้นทางชีวิตได้เลย
ในขณะเดียวกันเราก็ใช้การจากลาแบบสั้นๆ การจากลาแบบชั่วคราว
เป็นเครื่องฝึกฝนให้ทนต่อการร่ำลาตลอดไปของกันและกัน
การจากลาชั่วคราว
มักเกิดขึ้นในชีวิตเราเสมอๆ
อาจเป็นการจากไปเพื่อศึกษาต่อ ยังมีวันกลับมาพบกันอีก
ยิ่งในยุคสมัยใหม่การติดต่อสื่อสารกันง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส
โอกาสที่จะสานสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนย่อมเป็นไปได้ง่ายกว่าสมัยก่อนหรืออาจเป็นการจากของคนที่โยกย้ายถิ่นฐานไปตั้งหลักแหล่งอยู่แห่งใหม่
การจากลาแบบนี้ยังมีโอกาสได้พบประสบเจอกันอีกแต่อาจพบกันในสถานที่อื่นหรือโอกาสอื่นการจากลาก็นำมาซึ่งการเรียนรู้ชีวิตมากขึ้น
ทำให้เราเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
เมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับการเปลี่ยนแปลงนั้นให้ได้
“การพบและการจาก” เราห้ามไม่ได้ แต่เราสามารถกำหนดท่าทีของเราต่อ “การพบและการจาก”ได้ และท่าทีนี้แหละที่จะเป็นกรอบช่วยให้เราปฏิบัติต่อสิ่งหรือบุคคลที่เราพบได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
ไม่ก่อความเสียหายหรือก่อให้เกิดความทุกข์ในภายหลัง
และเป็นกรอบช่วยให้เราสามารถยอมรับ และทำใจได้ในที่สุด
เมื่อต้องจาก
“สิ่งของ”
หรือ “บุคคล” ที่เรารัก
เราเคารพ เรานับถือ เราประทับใจ คนที่เรียนรู้วิธิปฏิบัติต่อ “การพบ” และ “การจาก” ได้อย่างดี ย่อมสามารถอยู่ร่วมกับการพบและการจากได้อย่างสงบสุข
ไม่กระวนกระวายจนเกินไป
อีกทั้งยังสามารถใช้การพบและการจากนั้นเป็นครูของชีวิตได้ตลอดเวลาอีกด้วย
ใช่หรือไม่ “สายใยระหว่างการพบและการจาก คือ
ความทรงจำอันงดงาม”
ทุกครั้งที่มีการจากลา
เรามักจะคุ้นเคยกับคำว่า เริ่มต้นใหม่ด้วยเสมอ คล้ายกับว่าการจากลา
คือสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นของเราทุกคน เริ่มต้นใหม่กับสิ่งใหม่ๆ
ที่จะเปลี่ยนชีวิตเราคนเดิม แม้กระทั่งในการทำงานเราจำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่บ้าง
ถ้าหากสิ่งใหม่นั้นมันจะทำให้เราเก่งขึ้น ทำให้เราพัฒนาสู่ความชำนาญมากขึ้น
ในการใช้ชีวิตก็เช่นกัน เราจำเป็นต้องมีสังคมใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาบ้าง เพื่อเป็นการเปิดโลกกว้างให้กับตัวเองเป็นการเริ่มต้นกับชีวิตที่จะเติบโตขึ้น
เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตบนโลกกว้างและเป็นการใช้พระพรแห่งความช่วยเหลือกันและกัน “การจากตอนเป็นทำให้เห็นน้ำใจ
การจากตอนตายทำให้เห็นน้ำตา”
ในขณะที่เรายังมีชีวิตการมอบน้ำใจมีเมตตาต่อกันเป็นสิ่งที่จะนำความงดงามของการอยู่ร่วมกัน
นำมาซึ่งสันติสุข บนเส้นทางชีวิตเรามักจะพบกับการเปลี่ยนแปลง มีผู้คนมีเพื่อนใหม่ๆ
เข้ามาในชีวิตเราได้เสมอ บางคนอาจจะกลายเป็นเพื่อนกันตลอดจวบจนสิ้นลมหายใจ
บางคนกลายเป็นคนข้างกายที่ก้าวเดินไปด้วยกันในทุกวัน เมื่อเติบโตขึ้นเราก็จะพบกับมิตรภาพที่ยั่งยืนมากขึ้น
แม้ว่าจะมีเพื่อนฝูงน้อยลง
และถือว่าเป็นโชคดีที่ชีวิตหนึ่งเราจะมีเพื่อนที่ดีที่สุด
และพร้อมอยู่กับเราในทุกสถานการณ์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรา
เราได้เดินไปบนเส้นทางอย่างไม่โดดเดี่ยว
บนเส้นทางชีวิตที่ไม่ยาวไกลเราต้องเป็นใครสักคนให้กับผู้อื่นบ้าง
เพื่อปลอบโยน เพื่อช่วยผ่อนคลายระบายความทุกข์ อย่าได้ใช้ชีวิตแบบฝูงชนคนที่เข้าไปต้อนรับพระเยซูเจ้าในเส้นทางสู่กรุงเยรูซาเล็มเลย
อย่าใช้ชีวิตโดยใช้กระแสพาไปเพื่อพบเจอสิ่งใหม่ๆ แบบไม่จริงใจ
แล้วก็จากกันไปแบบไม่มีเยื่อใย เราต้องเติบโตขึ้นพร้อมที่จะทุกข์จะสุขไปด้วยกันบนเส้นทางมิตรภาพ
ไม่ทอดทิ้งกัน อย่าปล่อยให้คนที่เรารักต้องทนทุกข์อยู่ฝ่ายเดียว
จดจำมือที่เคยเกาะเกี่ยว จดจำวงแขนที่เคยโอบไหล่ จดจำเสียงหัวเราะ
จดจำความรักความผูกพันเอาไว้เพื่อให้เราก้าวสู่วันใหม่
สู่การเติบโตของชีวิตสู่การพัฒนาจิตวิญญาณ
สิ่งนี้คือสิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการมากที่สุด
อย่าทำให้การทนทุกข์ของพระองค์ต้องสูญเปล่า
อย่าให้การจากไปของพระองค์สูญสลายไปอย่างไร้คุณค่า
หากแต่คือความทรงจำที่ใช้ย้ำเตือนเราบนเส้นทางของความเปลี่ยนแปลงในชีวิตว่า
“เราจะมีชีวิตเพื่อกันและกัน”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น