วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

ไปไม่ถึงไหน

ไปไม่ถึงไหน
อากาศที่หนาวเย็นลงอย่างฉับพลัน ทำให้คนกรุงอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ มีโอกาสสัมผัสกับลมหนาวระดับ 16-18 องศา อยู่ 2-3 วัน ก็เป็นบรรยากาศที่หลายคนชื่นชอบ ไม่ต้องเปิดแอร์ ได้ใส่ชุดกันหนาว เสื้อผ้าสวย ๆ ที่เก็บไว้นานได้มีโอกาสออกมาเผยโฉมในโลกกว้างกันบ้าง เดินไปตามถนนหนทางเห็นแล้วนึกว่าเราเดินอยู่ในยุโรปหรือเปล่า? หญิงสาวหลายคนใส่เสื้อคลุมเสื้อโค้ชหลากสีสัน ทำให้วันที่ธรรมดากลายเป็นวันที่เต็มไปด้วยสีสันขึ้นมาในทันใด การแปรปรวนของอากาศเกิดขึ้นทั่วเอเชีย หลายพื้นที่เย็นลงมาก หลายที่มีหิมะตก เสมือนว่าโลกนี้กำลังถูกแช่แข็งเสียแล้วกระมัง ความแปรปรวนแบบนี้ เกิดมาจากการทำร้ายทำลายธรรมชาติด้วยน้ำมือมนุษย์ ทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว ธรรมชาติย่อมต้องปรับตัว โดยไม่ได้เป็นไปตามวงรอบของฤดูกาล นี่เป็นสัญญาณเตือนเรา ให้หันกลับมามองและเห็นความสำคัญของสิ่งสร้างให้มากขึ้น ความเคารพในสรรพสิ่งดุจดังเคารพองค์พระผู้สร้าง ไม่เช่นนั้น ความวิปริตของธรรมชาติอาจนำมาซึ่งความวิบัติของมวลหมู่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ หนาวมาไม่กี่วัน แต่มันสะท้อนความหนาวเยือกให้เราได้รู้เห็นถึงความเป็นไปได้ในวันข้างหน้าของโลกเรา แม้ว่าเราจะพัฒนาเทคโนโลยีจนถึงขั้นสูงแต่เราก็มิอาจจะทำให้ความรุนแรง ความร้ายกาจของภัยพิบัติลดลงได้ เพียงแค่เตือนแล้วหาทางป้องกันหลบหลีก
ภาพ : http://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/
2016/01/201601261649382-20110627141736-690x459.jpg
เมื่อกล่าวถึงความเจริญทางเทคโนโลยีแล้ว ทำให้อดคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมใกล้ตัวเราไม่ได้ ในยุคที่เราคิดว่ามีเครื่องมือล้ำนำสมัยสุด ๆ แต่ความคิดบางอย่างของบางคนกลับไม่ก้าวไกลไปไหนเลย ใช่หรือไม่ ตึกคอนโดฯสูง ๆ ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย ใครจะรู้!!!ในตึกหรูนั้นอาจกำลังมีใครสักคนกำลังหมกมุ่นกับการดูดวงชะตา หรือกำลังให้ข้าวให้น้ำกับบางสิ่ง กำลังพูดคุยกับสิ่งไร้ชีวิต ที่เชื่อว่ามีวิญญาณสิงสถิต บางคนกำลังใช้สมาร์ทโฟนมือถือราคาครึ่งแสน เปิดดูคำทำนายถึงดวงการเงินของตัวเอง คนไทยเรามักใช้เทคโนโลยีขั้นล้ำนำสมัยด้วยปัญญาขั้นอนุบาล ดูเหมือนเรากำลังก้าวไปไกล แต่เมื่อมองย้อนกลับมา อ้าว...เราย้ำอยู่กับที่ เราไม่สามารถนำเทคโนโลยีมาเป็นเครื่องช่วยยกระดับสติปัญญา  เรายังไม่สามารถแยกแยะว่าความเชื่อความศรัทธากับความงมงายต่างกันอย่างไร???
ใครจะไปเชื่อในยุคสมัยนี้ที่คนเดินทางด้วยเครื่องบินกันเป็นว่าเล่น แต่สายการบินแห่งชาติต้องมานั่งประชุมเรื่องการเอาตุ๊กตาลูกเทพ ขึ้นเครื่องบินว่าจะต้องมีมาตรการอย่างไร กลายเป็นปัญหาระดับชาติขึ้นมาทันที มันคือกระแสที่ถูกสร้างด้วยเทคโนโลยีการสื่อสาร ที่ใช้เป็นเครื่องมือชวนเชื่อ (หลายคนเลยเชื่อ) เพื่อขยายแนวคิด ขยายการค้าขายให้กว้างขึ้น เพราะเห็นว่าคนไทยมักจมอยู่กับความเชื่อเดิม ๆ ไม่ว่าโลกจะปรับเปลี่ยนไปมากสักเพียงใดก็ตาม
ถ้ามาคุยกันถึงความเชื่อความศรัทธาที่เรามีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น ก็เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาระดับสติปัญญา ก่อให้เกิดสันติสุขในจิตใจ ยิ่งเชื่อยิ่งศรัทธาย่อมมีความสุขมากขึ้น เมื่อใจสุข กายก็สุขตามมา ทำสิ่งใดก็มักจะเป็นผลดี แต่เรามักชอบอะไรที่มันรวบรัด รวดเร็ว แม้กระทั่งเรื่องการหาความสุขในชีวิต ทำให้เราไปอิงกับการที่ต้องมีให้มากขึ้น ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าใคร ๆ จึงจะถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิต เพื่อให้ได้มาจึงต้องทำทุกอย่าง พอเห็นใคร ได้ยินคนพูดถึงใช้สิ่งนั้นสิ่งนี้ จะนำความร่ำรวยมาให้ เราก็ทำตามโดยคิดว่าสิ่งนั้นศักดิ์สิทธิ์ เราเชื่อ เราศรัทธาสิ่งนั้นเพื่ออะไร เพื่อยกระดับจิตใจหรือเพื่อยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจ ถ้าเป็นแบบหลังนี่คือความไม่ยั่งยืน คือการไม่พัฒนา คือการย่ำอยู่กับที่ เพราะการตีค่าความสุขผิดไป เราจึงเปราะบาง เราให้ค่าความสุขที่ปริมาณของทรัพย์สินเงินทอง แท้จริงคุณค่าความสุขอยู่ที่มุมมองทัศนะคติต่อสิ่งเหล่านั้นต่างหาก เราไม่จำเป็นต้องปฏิเสธการหาเลี้ยงชีพ และเราต้องมีความสุขที่จะดำรงชีวิตให้ได้ด้วย
 ภาพ : www.blogger.com/blogger.g?blogID=8764049496835875341
#editor/target=post;postID=4208674573411259526
ความเชื่อ ความศรัทธาของเรานั้นต้องมอบให้กับสิ่งสูงสุด สูงส่ง แต่กับความเชื่อของคนยุคใหม่กลับนำสิ่งที่ตัวเองกลัวมาบูชาเลี้ยงดู โลกวันนี้มักมีมุมมองที่กลับด้าน สิ่งที่เคยเรียกเคยกลัวว่าเป็น “ผี” มาวันนี้นำกระดูก นำส่วนต่างๆ มาใส่ในตุ๊กตาแล้วนำมาไว้ในบ้าน อยู่ด้วยกันในห้อง เลี้ยงดูอย่างดีแล้วขนานนามว่าเป็น “เทพ” เพียงเพราะอยากที่จะร่ำรวย มีเงินมีทอง มีสิ่งของมาก ๆ หมดความกลัวไปเสียอย่างนั้น ในขณะที่เรามีคำสอน มีศาสดา มีศาสนาที่สอนให้เรามุ่งสู่ความดี ความงาม และชีวิตที่สมบูรณ์ เรากลับมองข้ามไป มีพระเจ้า มีนักบุญ มีเทวดา อยู่มากมาย กลับไม่เชื่อ ผ่านมากี่พันปีเราก็ยังไม่พัฒนาเรื่องจิตใจกันเลย ความเชื่อ ความศรัทธาของเราวันนี้ถูกแทนค่าด้วยเปลือก เรามาเข้าวัดเพียงเพื่อไม่ให้ผิดบัญญัติ แล้วเราได้อะไรจากการมาร่วมมิสซาวันอาทิตย์บ้าง มาเพื่อมา มาเพื่อสะสมแต้มอย่างนั้นหรือ?
บางทียิ่งมองดูเรายิ่งรู้สึกว่าความเชื่อ ความศรัทธาของเราไม่ได้เติบโตขึ้นเลย เรายังเหมือนเด็ก ๆ ที่ท่องแค่บทสวดภาวนาได้ เราเติบโตขึ้นมามากแค่ไหน ยังเป็นเสมือนเด็กที่เริ่มต้นรู้จักพระเจ้าเท่านั้นหรือ เราสนใจและศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับความเชื่อของเรา และเจริญชีวิตความเชื่อที่สมบูรณ์มากขึ้นบ้างหรือไม่ เรามีความพยายามเพียงใดที่จะใกล้ชิดสัมผัสถึงความรักอันมีอยู่จริงในทุกสรรพสิ่งรอบข้าง เราเลี้ยงดูตุ๊กตา ให้ข้าวให้น้ำ แต่ไม่เคยเหลียวแลญาติพี่น้องรอบตัวเราบ้างหรือเปล่า เราหมดเวลาพูดคุยกับสิ่งไร้ชีวิตแบบไร้สาระ จนลืมที่จะเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตที่ผ่านเข้ามาในชีวิตหรือเปล่า เทคโนโลยีก้าวล้ำนำสมัยเป็นของขวัญประทานมาจากพระผู้สร้างผ่านสติปัญญาของบางคน เพื่อให้เรามีโอกาสที่จะสัมผัสถึงความรักอย่างหาขอบเขตมิได้ของพระองค์ เราต้องประเมินความเชื่อของเราว่าพัฒนาขึ้นมากน้อยเพียงใด เพราะยังไงโลกยังคงมีความเชื่อ เพื่อก่อให้เกิดความหวัง และความรักเท่านั้นที่จะทำให้ทุกสิ่งสำเร็จลงได้ หากวันนี้เราเชื่อแล้วสุขใจ นั่นเป็นเครื่องชี้วัดว่าเราพัฒนาขึ้นแล้ว แต่ถ้าเราเชื่อและศรัทธาเพื่อเพียงหวังผลให้ได้มีสิ่งของมากขึ้นในชีวิต เช่นนี้บอกเลยว่า “เรายังไปไม่ถึงไหน”

ปล. หวังว่าคงไม่มีใครนำตุ๊กตาลูกเทพมาให้คุณพ่อที่วัดเซนต์หลุยส์ล้างบาปนะครับ...

ไม่มีความคิดเห็น: