วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

ในที่ตั้งนั้น

ในที่ตั้งนั้น
ในยุคที่ข่าวต่าง ๆ มาเร็วมาแรงและก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้ยังไม่ทันจะคลี่คลายเรื่องร้ายเรื่องใหม่ก็โถมเข้ามา ยิ่งในสังคมที่เรามีอุปกรณ์ยุคใหม่อยู่ในมือด้วยแล้ว เราต่างก็เป็นผู้สื่อข่าว เป็นช่างภาพข่าว เห็นเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพียงหยิบมือถือขึ้นมาไม่ถึงหนึ่งนาทีเราก็สามารถที่จะบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างหน้าเราได้แล้ว จากนั้นก็ส่งสารเข้าสู่สื่อใหม่ หากปะเหมาะเคราะห์ดี สิ่งที่เราส่งนำขึ้นโลกออนไลน์ไปถูกจริตเข้ากับสังคม มีการแชร์มีการส่งต่อกันไปจากหนึ่งเป็นสิบโยงใยเป็นใยแมงมุม เราก็จะกลายเป็นคนดังชั่วพริบตา ตรงนี้แหละที่หลายคนใช้ความอยากรู้อยากเห็นของคนใช้สื่อสมัยใหม่ ใช้จริตสังคม สร้างข่าวสร้างภาพ สร้างมุมสร้างพื้นที่ของตัวเอง สร้างไปสร้างมาก็ลุ่มหลงเชื่อว่าเราเป็นแบบนั้นจริง ๆ จนกระทั่งบางคนกล้าโกหกแม้กระทั่งตัวเอง เมื่อถูกจับผิดได้ก็พยายามทำให้ตัวเองดูดีด้วยการใส่ร้ายคนอื่นให้แย่ลง สังคมเราจึงเต็มไปด้วยคนเก่งที่มักจะพิงอยู่ในมุมของตัวเอง ตั้งมั่นยึดมั่นในตัวเองจนเกินเลยกลายเป็นความหยิ่งยโส ไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วในจักรวาล ข้าคือศูนย์กลางของสรรพสิ่ง...
ภาพ : อินเตร์เน็ต
เราไม่เคยคิดหรือว่าสิ่งที่เราทำนั้นมักถูกจับตา ถูกมองเห็นจากผู้อื่นเสมอ เพราะเรามัวแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวนั้น เลยไม่ทันคิดว่าสมัยนี้มีตาสับปะรดอยู่รอบ ๆ ตัวเรา จำได้ว่าในสมัยเด็กๆ เวลาที่เราเรียนคำสอน ครูสอนว่า เราทุกคนอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะทำอะไร พระองค์เห็นเสมอ เมื่อเรามีความเชื่อเช่นนี้ เวลาที่จะทำผิดเราจะต้องสะดุดใจ มโนธรรมย้ำเตือนว่า อย่างไรเสียพระเจ้าจะเห็นสิ่งที่เราทำ อย่างน้อยก็ทำให้เราชะงักตระหนักคิด มีเวลาทบทวนว่าจะทำจริง ๆ หรือ มันใช่มันถูกต้องหรือ? มาวันนี้ความเชื่อความคิดเช่นนี้คงไม่มีอยู่ในหัวจิตหัวใจของหลายคนเสียแล้วกระมัง การปลูกฝังเรื่องนี้ให้เด็กก็มักจะถูกค่านิยมสมัยใหม่เข้ามาท้าทาย ต่างคนต่างไม่เชื่อไม่เกรงกลัวหรือเกิดความละอายต่อสิ่งผิดที่ทำ เมื่อมโนธรรมของมนุษย์ตายด้าน พระเจ้าจึงให้มนุษย์เราคิดค้นเครื่องมือที่เป็นเสมือนผู้ช่วยพระองค์ เพื่อให้เราเห็นว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไร มีคนมองเห็นเสมอ เครื่องมือเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นกล้อง CCTV กล้องติดหน้ารถ หรือกระทั่งกล้องจากมือถือของแต่ละคนล้วนแต่เป็นตัวแทนสายพระเนตรทั้งนั้น ยิ่งมนุษย์เรายึดมั่นในตัวเองมากเท่าไร เราก็จะเห็นเครื่องมือสมัยใหม่ออกมาเพื่อจับตาเราทุกย่างก้าวมากขึ้นเท่านั้น แต่เรายังไม่ค่อยจะมีสำนึกถึงเรื่องนี้กันสักเท่าไร มองเห็นว่าเป็นเพียงเครื่องมืออำนวยความสะดวกก็แค่นั้น เราไม่เคยแคร์ ไม่เคยแลเรื่องเหล่านี้ เราก็ยังยืนอยู่ในที่ตั้งของเรา จนทำให้สังคมเราผุกร่อนลงเรื่อย ๆ
คณะขุนนางของเมืองแห่งหนึ่งได้ปรึกษากันถึงเรื่องซ่อมเเซมกำเเพงเมืองเนื่องจากผุกร่อนเสียหายเป็นอันมาก มีขุนนางอยู่ผู้หนึ่งซึ่งมาจากตระกูลช่างไม้ได้เสนอขึ้นมาว่า
ใช้ไม้ซุงทำกำเเพง รับรองว่าเเข็งเเรงเเน่นอน
ขุนนางคนที่สองที่มาจากตระกูลช่างทำหนังก็เสนอขึ้นบ้างว่า
ท่านต้องใช่หนังสัตว์สิ ทั้งทนทานเเละเเข็งเเรง
ขุนนางคนที่สามซึ่งมาจากตระกูลช่างก่ออิฐก็เสนอออกมาว่า
ไม่ซุงกับหนังสัตว์หรือจะแข็งแรงทนทานสู้อิฐได้
นิทานสั้น ๆ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคนเราย่อมคิดว่า สิ่งที่ตนถนัดนั้นหรือสิ่งที่ตัวเองรู้ ตัวเองชำนาญ ตัวเองเป็นอยู่นั้น คือสิ่งที่ดีที่สุด เลิศเลอค่าที่สุดแล้ว พอส่วนรวมขอความเห็นทุกคนต่างก็เสนอในมุมมองจากตัวเองเป็นที่ตั้ง และจะไม่ยอมน้อมรับความคิดของผู้อื่น บางครั้งถึงกับทะเลาะกันจนเสียผู้เสียคนก็พบเห็นกันบ่อย ๆ แน่ล่ะ...โลกนี้พัฒนามาได้ต้องอาศัยความต่าง กำแพงที่ผุกร่อนนั้นต้องดูว่า กำแพงนั้นสร้างเพื่อวัตถุประสงค์อะไร แล้วสิ่งใดควรนำมาทำเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย
ภาพ : อินเตร์เน็ต
บางทีการที่เราอยู่ในที่ตั้งของเราก็คิดว่าดีแล้ว แต่แท้จริงสิ่งนั้นดีจริงหรือเปล่า เรามักไขว้เขวในเรื่องการทำความดี ไม่เข้าใจถ่องแท้ว่าอะไรคือความดี หนำซ้ำยังตีความหมายของความดีและการทำความดีผิดเพี้ยนไปจากความดีแท้ ชอบที่จะตีความเข้าข้างตัวเองและเพื่อประโยชน์แห่งตน บางคนตีความว่าความดีคือการที่ทำให้ตนเองและครอบครัวมีความสุขสบายก่อนเป็นอันดับแรก อย่างอื่นเอาไว้ทีหลังหรือไม่ต้องสนใจไม่ต้องทำ บางคนทำความดีด้วยการช่วยเหลือหรือส่งเสริมเพื่อนฝูงและลูกน้องของตนเอง แต่ไปทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือเอาเปรียบหรือเหยียบหัวคนอื่น บางคนก็คิดว่าความดีคือการบริจาคทรัพย์ทำบุญจำนวนมาก ๆ เชื่อว่าหากทำบุญมาก ๆ จะได้ขึ้นสวรรค์ความเชื่อและค่านิยมการทำความดี จึงมีมากมายสุดแล้วแต่ละคนจะคิดหรือเชื่ออะไร ซึ่งหากมองผิวเผิน ไม่ว่าแต่ละคนจะไปทำความดีแบบไหนหรือทำเพื่อวัตถุประสงค์อะไร ก็น่าจะเป็นเรื่องดีทั้งนั้น เพราะทุกคนกำลังมุ่งมั่นทำความดี แต่ที่แย่คือเราดันไปยึดมั่นในมุมคิดของเราฝ่ายเดียว แทนที่จะยึดมั่นในความดีกลับไปยึดติดผลที่ได้รับสิ่งนี้แหละที่นำปัญหามาสู่สังคม

คนเรานั้นจะอยู่เพียงลำพังในทุกเวลาไม่ได้ เราต่างเกิดมาพึ่งกัน จะไปขัดแข้งขัดขาถือเราถือเขากันเพื่ออะไร ใครดีเราต้องชื่นชม ใครระทมเราต้องปลอบโยน อย่าอยู่ในที่ตั้งของเราฝ่ายเดียว เรียนรู้ที่จะไปอาศัยอยู่ในที่ตั้งของคนอื่นบ้าง ด้วยการเห็นอกเห็นใจกัน อะไรยอมกันได้ก็ยอมกันบ้าง ผ่อนหนักผ่อนเบา โลกมิใช่เราคนเดียวที่อาศัยอยู่ แค่เพียงยิ้มให้ก่อน เมตตาก็เกิดขึ้นแล้ว ออกจากที่ตั้งส่วนตัว จากมุมส่วนตัวเพื่อร่วมกันสร้างสังคมที่ดีตามความสามารถของเรา และยอมรับในความดีในความสามารถของผู้อื่น อย่ายึดติดกับความคิดและจริตตน แต่รู้จักที่จะยึดมั่นในความดีในจริยธรรมอันดีงาม มาร่วมกันเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมการทำความดี  โดยหันมาทำความดีเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ไม่ใช่ทำความดีเพื่อประโยชน์ตน เปิดที่ตั้งฝังอคติส่วนตัว แบ่งปันเมตตาต่อผู้อื่น สังคมจะได้ร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป

ไม่มีความคิดเห็น: