ในที่ตั้งนั้น
ในยุคที่ข่าวต่าง ๆ
มาเร็วมาแรงและก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้ยังไม่ทันจะคลี่คลายเรื่องร้ายเรื่องใหม่ก็โถมเข้ามา
ยิ่งในสังคมที่เรามีอุปกรณ์ยุคใหม่อยู่ในมือด้วยแล้ว เราต่างก็เป็นผู้สื่อข่าว เป็นช่างภาพข่าว
เห็นเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพียงหยิบมือถือขึ้นมาไม่ถึงหนึ่งนาทีเราก็สามารถที่จะบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างหน้าเราได้แล้ว
จากนั้นก็ส่งสารเข้าสู่สื่อใหม่ หากปะเหมาะเคราะห์ดี
สิ่งที่เราส่งนำขึ้นโลกออนไลน์ไปถูกจริตเข้ากับสังคม มีการแชร์มีการส่งต่อกันไปจากหนึ่งเป็นสิบโยงใยเป็นใยแมงมุม
เราก็จะกลายเป็นคนดังชั่วพริบตา ตรงนี้แหละที่หลายคนใช้ความอยากรู้อยากเห็นของคนใช้สื่อสมัยใหม่
ใช้จริตสังคม สร้างข่าวสร้างภาพ สร้างมุมสร้างพื้นที่ของตัวเอง สร้างไปสร้างมาก็ลุ่มหลงเชื่อว่าเราเป็นแบบนั้นจริง
ๆ จนกระทั่งบางคนกล้าโกหกแม้กระทั่งตัวเอง เมื่อถูกจับผิดได้ก็พยายามทำให้ตัวเองดูดีด้วยการใส่ร้ายคนอื่นให้แย่ลง
สังคมเราจึงเต็มไปด้วยคนเก่งที่มักจะพิงอยู่ในมุมของตัวเอง ตั้งมั่นยึดมั่นในตัวเองจนเกินเลยกลายเป็นความหยิ่งยโส
ไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วในจักรวาล
ข้าคือศูนย์กลางของสรรพสิ่ง...
ภาพ : อินเตร์เน็ต |
เราไม่เคยคิดหรือว่าสิ่งที่เราทำนั้นมักถูกจับตา
ถูกมองเห็นจากผู้อื่นเสมอ เพราะเรามัวแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวนั้น เลยไม่ทันคิดว่าสมัยนี้มีตาสับปะรดอยู่รอบ
ๆ ตัวเรา จำได้ว่าในสมัยเด็กๆ เวลาที่เราเรียนคำสอน ครูสอนว่า เราทุกคนอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า
ไม่ว่าเราจะทำอะไร พระองค์เห็นเสมอ เมื่อเรามีความเชื่อเช่นนี้
เวลาที่จะทำผิดเราจะต้องสะดุดใจ มโนธรรมย้ำเตือนว่า
อย่างไรเสียพระเจ้าจะเห็นสิ่งที่เราทำ อย่างน้อยก็ทำให้เราชะงักตระหนักคิด
มีเวลาทบทวนว่าจะทำจริง ๆ หรือ มันใช่มันถูกต้องหรือ? มาวันนี้ความเชื่อความคิดเช่นนี้คงไม่มีอยู่ในหัวจิตหัวใจของหลายคนเสียแล้วกระมัง
การปลูกฝังเรื่องนี้ให้เด็กก็มักจะถูกค่านิยมสมัยใหม่เข้ามาท้าทาย
ต่างคนต่างไม่เชื่อไม่เกรงกลัวหรือเกิดความละอายต่อสิ่งผิดที่ทำ เมื่อมโนธรรมของมนุษย์ตายด้าน
พระเจ้าจึงให้มนุษย์เราคิดค้นเครื่องมือที่เป็นเสมือนผู้ช่วยพระองค์ เพื่อให้เราเห็นว่า
ไม่ว่าเราจะทำอะไร มีคนมองเห็นเสมอ เครื่องมือเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นกล้อง CCTV กล้องติดหน้ารถ หรือกระทั่งกล้องจากมือถือของแต่ละคนล้วนแต่เป็นตัวแทนสายพระเนตรทั้งนั้น
ยิ่งมนุษย์เรายึดมั่นในตัวเองมากเท่าไร เราก็จะเห็นเครื่องมือสมัยใหม่ออกมาเพื่อจับตาเราทุกย่างก้าวมากขึ้นเท่านั้น
แต่เรายังไม่ค่อยจะมีสำนึกถึงเรื่องนี้กันสักเท่าไร มองเห็นว่าเป็นเพียงเครื่องมืออำนวยความสะดวกก็แค่นั้น
เราไม่เคยแคร์ ไม่เคยแลเรื่องเหล่านี้ เราก็ยังยืนอยู่ในที่ตั้งของเรา
จนทำให้สังคมเราผุกร่อนลงเรื่อย ๆ
คณะขุนนางของเมืองแห่งหนึ่งได้ปรึกษากันถึงเรื่องซ่อมเเซมกำเเพงเมืองเนื่องจากผุกร่อนเสียหายเป็นอันมาก
มีขุนนางอยู่ผู้หนึ่งซึ่งมาจากตระกูลช่างไม้ได้เสนอขึ้นมาว่า
“ใช้ไม้ซุงทำกำเเพง
รับรองว่าเเข็งเเรงเเน่นอน”
ขุนนางคนที่สองที่มาจากตระกูลช่างทำหนังก็เสนอขึ้นบ้างว่า
“ท่านต้องใช่หนังสัตว์สิ
ทั้งทนทานเเละเเข็งเเรง”
ขุนนางคนที่สามซึ่งมาจากตระกูลช่างก่ออิฐก็เสนอออกมาว่า
“ไม่ซุงกับหนังสัตว์หรือจะแข็งแรงทนทานสู้อิฐได้”
นิทานสั้น ๆ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคนเราย่อมคิดว่า
สิ่งที่ตนถนัดนั้นหรือสิ่งที่ตัวเองรู้ ตัวเองชำนาญ ตัวเองเป็นอยู่นั้น คือสิ่งที่ดีที่สุด
เลิศเลอค่าที่สุดแล้ว พอส่วนรวมขอความเห็นทุกคนต่างก็เสนอในมุมมองจากตัวเองเป็นที่ตั้ง
และจะไม่ยอมน้อมรับความคิดของผู้อื่น บางครั้งถึงกับทะเลาะกันจนเสียผู้เสียคนก็พบเห็นกันบ่อย
ๆ แน่ล่ะ...โลกนี้พัฒนามาได้ต้องอาศัยความต่าง กำแพงที่ผุกร่อนนั้นต้องดูว่า
กำแพงนั้นสร้างเพื่อวัตถุประสงค์อะไร แล้วสิ่งใดควรนำมาทำเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย
ภาพ : อินเตร์เน็ต |
บางทีการที่เราอยู่ในที่ตั้งของเราก็คิดว่าดีแล้ว
แต่แท้จริงสิ่งนั้นดีจริงหรือเปล่า เรามักไขว้เขวในเรื่องการทำความดี ไม่เข้าใจถ่องแท้ว่าอะไรคือความดี
หนำซ้ำยังตีความหมายของความดีและการทำความดีผิดเพี้ยนไปจากความดีแท้ ชอบที่จะตีความเข้าข้างตัวเองและเพื่อประโยชน์แห่งตน
บางคนตีความว่าความดีคือการที่ทำให้ตนเองและครอบครัวมีความสุขสบายก่อนเป็นอันดับแรก
อย่างอื่นเอาไว้ทีหลังหรือไม่ต้องสนใจไม่ต้องทำ
บางคนทำความดีด้วยการช่วยเหลือหรือส่งเสริมเพื่อนฝูงและลูกน้องของตนเอง
แต่ไปทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือเอาเปรียบหรือเหยียบหัวคนอื่น
บางคนก็คิดว่าความดีคือการบริจาคทรัพย์ทำบุญจำนวนมาก ๆ เชื่อว่าหากทำบุญมาก ๆ
จะได้ขึ้นสวรรค์ความเชื่อและค่านิยมการทำความดี จึงมีมากมายสุดแล้วแต่ละคนจะคิดหรือเชื่ออะไร
ซึ่งหากมองผิวเผิน ไม่ว่าแต่ละคนจะไปทำความดีแบบไหนหรือทำเพื่อวัตถุประสงค์อะไร
ก็น่าจะเป็นเรื่องดีทั้งนั้น เพราะทุกคนกำลังมุ่งมั่นทำความดี
แต่ที่แย่คือเราดันไปยึดมั่นในมุมคิดของเราฝ่ายเดียว แทนที่จะยึดมั่นในความดีกลับไปยึดติดผลที่ได้รับสิ่งนี้แหละที่นำปัญหามาสู่สังคม
คนเรานั้นจะอยู่เพียงลำพังในทุกเวลาไม่ได้
เราต่างเกิดมาพึ่งกัน จะไปขัดแข้งขัดขาถือเราถือเขากันเพื่ออะไร ใครดีเราต้องชื่นชม
ใครระทมเราต้องปลอบโยน อย่าอยู่ในที่ตั้งของเราฝ่ายเดียว
เรียนรู้ที่จะไปอาศัยอยู่ในที่ตั้งของคนอื่นบ้าง ด้วยการเห็นอกเห็นใจกัน
อะไรยอมกันได้ก็ยอมกันบ้าง ผ่อนหนักผ่อนเบา โลกมิใช่เราคนเดียวที่อาศัยอยู่ แค่เพียงยิ้มให้ก่อน
เมตตาก็เกิดขึ้นแล้ว ออกจากที่ตั้งส่วนตัว จากมุมส่วนตัวเพื่อร่วมกันสร้างสังคมที่ดีตามความสามารถของเรา
และยอมรับในความดีในความสามารถของผู้อื่น อย่ายึดติดกับความคิดและจริตตน แต่รู้จักที่จะยึดมั่นในความดีในจริยธรรมอันดีงาม
มาร่วมกันเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมการทำความดี โดยหันมาทำความดีเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
ไม่ใช่ทำความดีเพื่อประโยชน์ตน เปิดที่ตั้งฝังอคติส่วนตัว แบ่งปันเมตตาต่อผู้อื่น
สังคมจะได้ร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น