วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559

ไม่ละเลยคือเมตตา

ไม่ละเลยคือเมตตา
อย่างที่เคยกล่าวไว้ “เรื่องเดิมมิทันจะคลี่คลายมลายหายไป เรื่องใหม่ก็เข้ามาทดแทน” ความเร็วแรงของข่าวสารในยุคที่สายตาไม่มองไกลจากตัวเอง (ก้มหน้าก้มตาอยู่กับมือถือ) และผู้คนก็เสพติดชนิดเรียกว่าละเมอหยิบมือถือมาดูแม้ในยามหลับอยู่ ยิ่งกว่าเป็นเงาตามตัวเราเสียอีก ทำไปทำมามันกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเราเสียแล้วกระมัง เพราะเราใช้กันชนิดที่ไม่สนใจว่าจะอยู่ในสถานที่ใด ในสถานการณ์ไหน ในวัด ในห้องเรียน ในห้องน้ำ ห้องนอน ดูคอนเสิร์ต ระหว่างกินอาหาร ไม่สนใจคนร่วมโต๊ะ คนรอบข้าง ไม่สนใจว่าจะรบกวนใครหรือเปล่าใช้มันทุกที่จนเคยชิน เพราะกลัวตกข่าว กลัวไม่ทันคนอื่นเขา...หรือนี่คือสิทธิส่วนบุคคล..ห้ามยุ่ง..!!!
 ภาพ : http://www.lonely-rooyang.com/wp-
content/uploads/2016/01/porsoci2-600x600.jpg
ทำให้เกิดความรู้สึกว่าในวันนี้ ในยุคที่เต็มไปด้วยการแข่งขันกันจนไม่เหลือพื้นที่ของสำนึกว่าสิ่งใดควรไม่ควร เป็นสังคมที่ละเลยต่อคนรอบข้างโดยแท้ ยิ่งเมื่อเห็นภาพข่าวที่ช่างภาพสื่อมวลชนทั้งหลายทั้งปวง แห่แหกที่กั้นกระโดด กระโจน มุ่งหมายเพื่อถ่ายภาพร่างไร้วิญญาณของพระเอก “ปอ” ก็ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า จะถ่ายหน้าที่แน่นิ่งของร่างนั้นมาเพื่ออะไร ทำไมต้องถ่ายอะไรกันเยอะแยะขนาดนั้นด้วย ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วภาพที่นำมาใช้ประกอบข่าวแค่ไม่กี่ภาพ เพราะคิดว่าถ่ายเผื่อไว้เลือกหรือ!!! (นั่นแสดงว่ายังไม่มืออาชีพ) เพราะคิดว่าคนเสพอยากเห็นหน้าในร่างไร้วิญญาณหรือ หรือว่าละเลยไร้ความละเอียดอ่อนในจรรยามารยาทกันแน่ ในเรื่องนี้ตามความคิดเห็นส่วนตัวและเป็นธรรมปฏิบัติในครอบครัวผู้เขียน (คนข้างวัด) ในพิธีปลงศพของคนในครอบครัวจะของดการถ่ายภาพเด็ดขาด ทั้ง ๆ ที่มีเพื่อนฝูงไม่น้อยอยู่ในแวดวงถ่ายภาพและมีความยินดีที่จะช่วยเหลือ แต่ทางครอบครัวก็มักจะขอบคุณในน้ำใจนั้นและให้เหตุผลว่า พวกเรามีภาพคนอันเป็นที่รักของเราอยู่ในใจเสมอ และไม่ปรารถนาที่จะเพิ่มความเศร้าโศกเพราะการจากไปด้วยการเห็นภาพเหล่านั้นอีก เราต้องการให้มิตรสหายทุกคนที่มาร่วมงานนั้นมีสมาธิและสงบ เพื่อให้บรรยากาศเป็นไปอย่างเรียบร้อยจริง ๆ (เน้นย้ำอีกครั้ง นี่เป็นความคิดเห็นส่วนครอบครัวเท่านั้น)
และเช่นกัน ในหลายครั้งในหลายกรณีคนดังในต่างประเทศเวลาที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัว ก็มักจะขอและแจ้งความประสงค์ว่าจะทำพิธีปลงศพแบบเป็นส่วนตัว คือ มีเฉพาะญาติ ๆ และคนสนิทเท่านั้น นักข่าวสื่อมวลชนต่างประเทศเขาก็จะเคารพในสิทธิส่วนตัวนี้อย่างเคร่งครัด ไม่มีการเข้าไปหรือแอบถ่ายภาพในพิธีปลงศพใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งอันนี้เราพอเข้าใจที่แยกแยะวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นได้ ทางเอเชียของเรามักจะให้ความสำคัญกับงานศพมากกว่าทางฝากฝั่งของยุโรป แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรต้องคำนึงถึงว่าในระหว่างงานที่เราไปร่วมนั้น เราไปเพื่อร่วมงานเพื่อไว้อาลัย มิใช่ไปเพื่อถ่ายภาพ เราไปเพื่อแสดงความเสียใจ ไม่ใช่ไปลั้นลาถ่ายเซลฟี่ อย่าว่าแต่ช่างภาพสื่อมวลชนเลย เรามักเห็นคนที่ร่วมงานต่างก็นำมือถือขึ้นมาถ่ายภาพกันเยอะแยะไปหมด ถ่ายกันเพื่ออะไรมิทราบ..? เราละเลยเรื่องหลัก ๆ สนุกกับการถ่ายภาพและอัพสเตตัสขึ้นโลกออนไลน์ จนละเลยโลกของความจริงว่า มีความเศร้าโศกของการจากไปอยู่ข้างหน้าเรา ยังมีความทุกข์ระทมขมขืนอยู่ในเวลานั้น
ภาพ : http://www.lonely-rooyang.com
/wp-content/uploads/2016/01/ct15.jpg
เมื่อพูดถึงการถ่ายภาพบนมือถือ ลองย้อนกลับไปดูว่าเราถ่ายภาพต่าง ๆ เก็บไว้เยอะขนาดไหน บางคนเป็นพันภาพ บางคนเก็บไว้หลายพันภาพ เป็นขยะดิจิตัลค้างคาในเมมโมรี่ ทำให้เครื่องค้าง เครื่องแฮงค์ อย่างไม่รู้ตัว และถามจริง ๆ จะมีสักกี่ครั้งที่เรามานั่งเปิดดูภาพเหล่านั้นอย่างจริง ๆ จัง ๆ เราถ่าย ๆ เก็บไว้อย่างนั้น เราละเลยที่จะลบภาพถ่ายบางภาพที่ถ่ายซ้ำ ๆ ละเลยที่จะใช้ประโยชน์จากภาพเหล่านั้น เราละเลยในเรื่องเล็ก ๆ เหล่านี้ จนกลายเป็นสิ่งสะสมหมักหมม เรื่องง่าย ๆ แบบนี้บางทีเราอาจจะหลงลืมที่จะคิดไป ใช่ล่ะ...บางทีวิถีชีวิตของเราก็มักละเลยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จนทำให้ละเลยต่อเรื่องใหญ่ไป ใช่หรือไม่ บางเรื่องเรายังละเลยต่อตัวเองเลย แล้วกับคนอื่นเล่า เราใส่ใจ เราละเลย เราหลงลืมกันหมดแล้วหรือยัง  หากเราพร่ำบ่นว่าทำไมสังคมวันนี้ไร้เมตตาต่อกัน เราก็ต้องกลับมาสำรวจตรวจสอบว่าวันนี้เราได้ละเลยเรื่องใดบ้างในชีวิตของเรา นี่เป็นการเริ่มต้นของการมีเมตตาต่อกัน ใส่ใจกันให้มากขึ้น เห็นใจกันให้มากกว่าเก่าสักนิด เพื่อต่อเติมเพิ่มความสุขให้กัน เหมือนตัวอย่างเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นเรื่องนี้
 ภาพ : https://pbs.twimg.com/media/CXhdX7TUoAAjxYL.png
ที่เกาะฮอกไกโด ทางเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น มีสถานีรถไฟชื่อ คามิ-ชิราตาเกะ ในแต่ละวันจะมีรถไฟวิ่งมาที่สถานีนี้วันละสองครั้ง เช้าและเย็น เพื่อรับ-ส่งผู้โดยสารเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น เธอเป็นนักเรียนและตอนนี้กำลังเรียนชั้นมัธยมปลายแล้ว
การที่สถานีแห่งนี้ไม่มีใครสนใจใช้บริการ น่าจะเป็นเหตุผลพอที่จะยุบเลิกสถานีแห่งนี้ได้แล้ว ที่จริงการรถไฟญี่ปุ่นก็ตั้งใจจะปิดสถานีนี้อย่างถาวรตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน แต่เมื่อทราบว่า ยังมีผู้โดยสารอยู่คนหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้บริการรถไฟเพื่อไปโรงเรียน จึงเปลี่ยนใจและยังให้มีบริการรถไฟอยู่ต่อไปจนกว่านักเรียนคนนี้เรียนจบ
ไม่แต่เท่านั้น การรถไฟญี่ปุ่นยังปรับเวลาเดินรถให้ตรงกับเวลาที่นักเรียนคนนี้จะต้องไปโรงเรียน และกลับบ้านเมื่อเลิกเรียนแล้ว ทราบมาว่านักเรียนคนนี้จะเรียนจบในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ เรื่องราวของสถานีรถไฟแห่งนี้เป็นที่รู้กันดีในหมู่คนญี่ปุ่น และมีการแสดงความเห็นกันในหน้า Facebook ด้วย  เช่น มีท่านหนึ่งเขียนว่า ทำไมผมจะไม่พร้อมที่จะตายเพื่อชาติในเมื่อรัฐบาลดูแลเอาใจใส่เราถึงเพียงนี้ อีกท่านหนึ่งได้เขียนว่า นี่คือความหมายของธรรมาภิบาลที่ลงไปถึงระดับรากหญ้าที่เห็นความสำคัญของประชาชนทุกคน ไม่มีเด็กคนใดถูกละเลย (Credit:  http://www.citylab.comแปลโดย อาจารย์ชัยณรงค์ มนเทียรวิเชียรฉาย)

พลังแห่งเมตตานั้นยิ่งใหญ่ พลังนี้เริ่มจากการใส่ใจกัน ไม่ละเลยละเว้นในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ รู้จักที่จะเห็นใจ เข้าใจ โดยไม่เอาแต่ใจเราเป็นที่ตั้งในทุกกรณี ชีวีพาสุกใส สังคมจะร่มเย็นเป็นสุข อย่าคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ในสังคมเรา ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอถ้าเราเริ่มต้นจากตัวเอง เพียงแต่เราพร้อมจะเริ่มต้นหรือเปล่า...?????

ไม่มีความคิดเห็น: