ลูกแท้ เทียม เทพ
ในยุคสมัยใหม่เรามักจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ๆ มีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่เคยมีก็ถูกนำมาปรับขยับเปลี่ยนกลายเป็นสิ่งนำสมัยขึ้นมา
ประกอบกับความอ่อนไหวทางจิตวิญญาณ ความไม่มั่นคงทางจิตใจ ความอยากได้ใคร่มีที่มากล้น
ผู้คนในสังคมจึงมักถูกสิ่งใหม่เข้าครอบครองวิถีชีวิตได้ง่าย จนไม่รู้ว่าสิ่งใหม่ ๆ
ที่เข้ามานั้นเป็นของแท้ หรือของเทียม แล้วสิ่งเหล่านั้นจะคงอยู่ในวิถีชีวิตนานสักแค่ไหน
หรือว่า เราชินชากับการเปลี่ยนแปลงจนเราเองก็กลายเป็นสิ่งเทียมทนสิ่งหนึ่งในสังคมนี้เสียแล้ว
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
ที่เกริ่นนำมาเช่นนี้เพราะเห็นหลายคนกำลังนิยมอุ้มตุ๊กตาหน้าตาเหมือนเด็ก
ๆ (เหมือนมาก)อุ้มไปไหนต่อไหน กลายเป็นเทรนด์ใหม่ในปีใหม่นี้ ที่พวกเขาเรียกกันว่า
“ลูกเทพ” โอ้ ไม่นะ...ที่แท้ก็คือ “ตุ๊กตาฝรั่ง” ที่มีขนาดตั้งแต่ 8
นิ้วไปจนถึงเท่าเด็ก 7 ขวบ ถูกนำมาปลุกเสก
เพิ่มคุณค่าด้วยการอัญเชิญดวงเทพลงมาสถิต กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นำไปบูชา เพราะเชื่อว่าเป็นตุ๊กตานำโชค
นำลาภมาให้ จริงแล้วเรื่องนี้เริ่มจากคน ๆ หนึ่งเกิดจินตนาการว่าหากนำตุ๊กตาไปปลุกเสกจะทำให้ร่ำรวย
ประสบผลสำเร็จ และใช้สื่อออนไลน์ในการสร้างตัวตนบนความเชื่อง่ายของคนสมัยใหม่ สร้างความแปลกแตกต่างเพื่อจุดประกาย
เมื่อจุดติดกลายเป็นกระแสที่คลั่งไคล้หลงใหล กลายเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไป โชคดีมากที่เรายังไม่เห็นคนในชุมชนเซนต์หลุยส์อุ้ม
“ตุ๊กตาเทพ” แบบนั้นมาเข้าวัดหรือมาให้คุณพ่อเสก มาให้เจิม
หวังว่าคงไม่มีและไม่อยากเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นกับชุมชนความเชื่อของเรา
หลายคนอาจจะมองว่าเป็นความเชื่อส่วนตัว
อันนั้นก็ต้องว่ากันไปในพื้นที่ส่วนตัว แต่การอุ้มไปไหนต่อไหน พูดคุย
ให้ข้าวให้น้ำ พาไปเดินห้าง เข้าร้านเสริมสวย ทั้งหมดคือพื้นที่สาธารณะ ใช่หรือไม่
อันนี้คือสิ่งที่พึงระมัดระวัง (ความเห็นส่วนตัว) มีหลายคนอาจจะถกเถียงในใจว่า “ทีพวกเราในวันคริสต์มาสยังนำรูปพระกุมารมาแห่มาจูบกันเลย”
นั่นมันก็เหมือนเป็นตุ๊กตาไม่ใช่หรือ
ทำให้คิดถึงครั้งหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่ในคอนโดฯ แห่งหนึ่ง แล้วบังเอิญมีคุณพ่ออัญเชิญรูปพระกุมารไปอวยพรตามห้องต่าง
ๆ ที่นับถือคาทอลิก ในระหว่างขึ้นลิฟท์ มีเด็กคนหนึ่งเข้ามาด้วย หันไปถามคุณพ่อที่กำลังอุ้มพระรูปพระกุมารอยู่ว่า
“ลุง ๆ ทำไมยังเล่นตุ๊กตาเด็กอยู่ครับ” สร้างรอยยิ้มเสียงหัวเราะให้เกิดขึ้นในขณะนั้น
แต่เมื่อมาคิดย้อนกลับในเหตุการณ์นั้น ก็เกิดคำตอบในวันนี้ว่า การที่เรานำรูปพระกุมารออกมานั้นส่วนหนึ่งเป็นพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานในการระลึกถึงการบังเกิดมาของพระเยซูเจ้า
และรูปปั้นนั่นก็เป็นรูปเคารพศักดิ์สิทธิ์ที่แทนองค์พระเยซูเจ้า ที่สำคัญเรามิได้นำรูปปั้นไปยังที่ต่าง
ๆ อย่างไร้จุดหมาย การที่อัญเชิญรูปพระกุมารไปตามบ้าน ที่พักอาศัย ก็เป็นการอวยชัยให้พร
เป็นการนำความยินดีไปสู่ที่นั้น ๆ ที่สุดเป็นการย้ำเตือนว่า “พระเยซูกุมารน้อยนั้นจะต้องประทับอยู่ในใจ
ในตัวเราเสมอ” หากสังเกตดี ๆ รูปพระกุมารโดยส่วนมากจะแผ่มือออก
นั่นเป็นการแสดงถึงความมีเมตตา เป็นการมอบให้แก่ทุกผู้คนที่เข้ามา นี่เป็นความเชื่อที่หยั่งรากลึก
มิใช่กระแสที่วูบมาและจางหายไป เป็นธรรมประเพณีอันดีงามที่สร้างศรัทธาพัฒนาจิตใจแห่งการเป็นผู้ให้
ของผู้คนมานานแสนนาน
กลับมาเรื่อง “ตุ๊กตาลูกเทพ”
ที่อาจจะเป็นเพียงการสร้างจุดขายให้ดูน่าสนใจ เป็นความเชื่อเฉพาะบุคคล
ที่สะท้อนความเป็นจริงในสังคมว่า คนไทยยังต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเพื่อนำมาเป็นที่พึ่งและสร้างความมั่นใจในการดำเนินชีวิต
ยิ่งในโลกปัจจุบันที่เชื่อว่า ความเร็วกลายเป็นความดี คนสมัยใหม่ไม่มีน้ำอดน้ำทน
ต้องการรวยเร็ว ต้องการประสบความสำเร็จในวันนี้พรุ่งนี้ ต้องการมีรถมีบ้าน
แต่ไม่ต้องการทำงานหนัก เพราะคิดว่ากว่าจะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องทำงานเป็น 10
ๆ ปี มันนานเกินรอ พอมีอะไรเป็นที่พึ่งพาสู่ฝันแบบรวบลัดได้ก็ลองดูสักหน่อยไม่เสียหลาย
หรืออีกนัยหนึ่ง ผู้คนมีความเหงามากขึ้น แต่งงานกันน้อยลง
ไม่ค่อยมีลูกมีเด็กให้ดูแล อาจจะเป็นเพราะด้วยโรคร้ายที่มีผลต่อสุขภาพในการตั้งครรภ์
เพราะด้วยสภาวะจิตใจของคนหนุ่มสาวที่มีความเครียดเป็นนิจสิน หรือเพราะด้วยกลัวลำบากมากขึ้นหากมีลูกมาเป็นภาระ
และอีกหลายเหตุผล เราจึงเป็นสังคมที่ขาดแคลนเด็กเล็ก ๆ และเมื่อถึงวาระหนึ่งของชีวิต
คนเราก็อยากจะเป็นคนเลี้ยงดูแลคนอื่น ครั้นจะไปหาสิ่งที่มีชีวิตที่เรียกว่า “เด็กแท้”
มาเลี้ยงดูก็กลัวว่าจะยุ่งยากลำบากเสียเวลา (ความเร็วเป็นที่ตั้ง)
เห็นตุ๊กตาน่ารักน่าชัง ก็ใช้ความด้อยนี้แหละนำตุ๊กตามาเลี้ยง
เพื่อเพิ่มสร้างความมั่นใจก็นำไปปลุกเสก เพื่อเพิ่มเสริมให้เกิดความมั่นคงยิ่งขึ้น
สิ่งเหล่านี้ถูกนำมาเป็นกระแสโดยคนที่ต้องการสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองพยายามหาจุดเด่นจุดขาย
มีการโชว์ถึงความคลั่งไคล้ที่ได้ดังใจหลังจากนำสิ่งนี้มาบูชา
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วได้อย่างเดียว ได้เงินมากขึ้น ได้งานเยอะขึ้น ได้ออกทีวี ได้ๆๆๆๆ
เยอะแยะไปหมด มีแต่ได้เพื่อสนองกิเลสตน กลายเป็นว่า “ตุ๊กตาเทพ” นี้มีแต่ได้
ไม่มีให้เลย คนเราเกิดมาเพื่อผู้อื่นหาใช่เพื่อตัวเองฝ่ายเดียว
สิ่งที่น่าวิตกอีกประการหนึ่งคือคนที่มีลูกแท้
มีลูกหลานในบ้านในครอบครัวอยู่แล้ว อาจจะไปหลงกับกระแสนำลูกเทพลูกเทียมมาเลี้ยงดูมาบูชาคู่กับลูกแท้
จนลืมว่าลูกแท้ที่มีชีวิตนี้หากเลี้ยงดูอย่างดี เอาใจใส่ หมั่นเพียรสอนสั่ง
ปลูกฝังความดีงาม พาไปเรียนรู้ชีวิตในที่ต่าง ๆ “ลูกเทพ” อยู่ไม่ไกลจากเราเลย
แถมเป็นลูกเทพที่มีชีวิตที่มีความผูกพันที่สัมผัสอุ่นไอรักระหว่างกันได้
แม้ว่าลูกแท้นี้บางช่วงขณะอาจจะไม่ใช่ลูกเทพ แต่พวกเขาก็เป็นลูกพระเหมือน ๆ กับเรา
มีของแท้อยู่ใกล้ใยต้องแสวงหาของเทียมด้วยเล่า
การมีเด็กอยู่ในบ้านคือพระพรที่พระกุมารน้อยมาประทับอยู่ ไม่ใช่ภาระอะไรเลย
เป็นเราเองนี่แหละที่จะต้องรักษา ดูแลพระพรนี้อย่างดี ทำให้พระพรที่งอกงาม งอกเงย
ให้เวลากับพวกเขา ทะนุถนอมพวกเขา พูดคุยโอบกอดพวกเขา
อยู่เคียงข้างพวกเขาทั้งยามหัวเราะและร้องไห้ เป็นความหวังให้พวกเขาได้ทุกเวลา
นี่คือภารกิจรักอันหนึ่งที่เราพึงต้องร่วมกันกระทำเพื่อสร้างลูกหลานแท้ ๆ ของเราให้เป็น
“ลูกหลานเทพแห่งเมตตา” เพื่อว่าพวกเขาจะได้เติบโตขึ้นนำพระพรไปสู่สังคมในวันข้างหน้าต่อไป...สุขสันติจงมีแด่เด็กเทพทุกคนครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น