วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เดินทางกลางพายุ

เดินทางกลางพายุ
อย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน ว่าการเดินทางมาไต้หวันในครั้งนี้จะต้องประสบพบเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยเจอมา หลังจากออกจากสนามบินพร้อมคณะ ฝนก็เริ่มตกตลอดทาง เห็นเป็นเพียงสายฝนธรรมดา ๆ เหมือนบ้านเรา แต่ตกนานตกตลอดตกจนกระทั่งไม่สามารถออกจากที่พักมาหาอะไรทานได้ในมื้อเย็นวันนั้น ในกลุ่มจึงมีผู้เสียสละ ผู้ที่เคยมาพักอยู่แถวนี้ รับอาสาออกไปซื้ออาหารสำเร็จรูปจากร้านสะดวกซื้อซึ่งต้องใช้เวลาเดินออกมาร่วม ๆ 20 นาที หลังจากมื้อเย็นที่ว่าด้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็มีการนัดหมายว่าสาย ๆ ของวันรุ่งขึ้น คณะเราจะเดินทางไปยังสถานที่จัดแสดงงาน ค่ำคืนนั้นจึงนอนหลับไปพร้อมกับสายฝน

วันใหม่ในไต้หวัน ได้รับการแจ้งว่าขอ “งดการนัดหมาย” แต่เราก็ไม่รู้สาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร? อาจจะเป็นความคลาดเคลื่อนในการสื่อสาร ที่ได้รับการแจ้งมาเพียงเท่านี้ ฉะนั้นเพื่อไม่ให้เสียเที่ยวจึงตัดสินใจว่าจะออกไปเที่ยวชมเมืองไทเป กางแผนที่ออกศึกษาเส้นทางรถไฟฟ้า เราอยู่ในสายสีแดงสายหลัก ที่ผ่านสถานที่สำคัญ ๆ สถานที่หมายตาแรกคืออนุสรณ์สถานรำลึกถึงท่าน เจียง ไคเช็ก ผู้บุกเบิกไต้หวัน มีรถไฟใต้ดินไปถึง เมื่อไปถึงสายฝนก็กระหน่ำลงมาอีก และตก ๆ หยุด ๆ สลับไปมา บริเวณนั้นมีทั้งหอภาพยนตร์ และศูนย์แสดงงาน มีสวนสาธารณะสวยงามอยู่รอบ ๆ แต่ทุกที่ปิดทำการหมด นักท่องเที่ยวหลายร้อยคนยืนรอ ยืนหลบฝน ที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อาศัยจังหวะฝนซาจึงออกมาถ่ายรูป ก่อนออกมาจากสถานที่ตรงนั้น ร่มกับหมวกเป็นสิ่งที่พอจะช่วยกันฝนได้ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในบริเวณนั้น แต่ก็....ปิดหมด ชักเริ่มสงสัย เพราะไม่ค่อยเห็นผู้คนบนท้องถนน ในระหว่างที่เดินหาสถานที่เยี่ยมชมอยู่นั้น ฝนเริ่มตกหนักขึ้น ลมเริ่มแรงเป็นพัก ๆ จะหาคนถามทางก็หายากมากขึ้น ในจังหวะหนึ่งกำลังจะข้ามถนน ลมลูกใหญ่พัดมาปะทะเต็มตัว ร่มหัก หมวกปลิว เปียกชุ่ม กลางสายฝน คนเดินทางจากต่างถิ่นที่ไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่กำลังก่อตัวขึ้น ใช่หรือไม่ ในชีวิตจริงของเราบางทีก็เป็นแบบนั้น เข้าไปอยู่ในที่ที่อันตรายแบบไม่รู้ตัว แบบไม่ทันตั้งตัว ไม่มีเวลาที่จะศึกษา สิ่งที่ทำได้คือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
เมื่อเห็นท่าทางว่าฝนจะไม่หยุดตกง่าย ๆ จึงตัดสินใจขึ้นรถไฟกลับที่พัก และก่อนจะเข้าที่พักจึงแวะหามื้อเย็นทาน ในขณะที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ พี่ผู้หญิงคนหนึ่งหันมาถามว่า “มาจากเมืองไทยหรือคะ” จากนั้นพี่เค้าก็บอกข่าวและสถานการณ์ว่า พายุไต้ฝุ่นกำลังเข้าสู่ไต้หวัน รัฐบาลประกาศให้หยุดงาน และจะหนักขึ้นในค่ำนี้หรือไม่ก็พรุ่งนี้ พอเสร็จจากมื้ออาหารในช่วงที่เดินกลับที่พัก ลมเริ่มแรงขึ้น ๆ ฝนหนักขึ้นเรื่อย ๆ น้ำเริ่มท่วม ระยะทางเพียงแค่กิโลกว่า ๆ ต้องเดินฝ่าลม ต้านฝน ลุยน้ำ บางจังหวะตัวแทบปลิว ระหว่างทางเห็นร่มที่หักพังถูกทิ้งไว้หลายคัน แล้วเราก็ถึงที่พักจนได้ คล้อยหลังจากนั้นเพียงสิบนาที ลมพัดอย่างแรง ฝนตกหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา บ้านพักสั่นไหว ตามแรงลม หน้าต่างประตูเสียงดังจากแรงปะทะ นับว่าโชคดีที่เรามาถึงที่พักก่อนพายุใหญ่มาถึงแบบเฉียวเฉียด..!!!!
พอเข้าที่เข้าทางจึงเปิดเช็คข่าว “ไต้ฝุ่น ตู้เจวียน ซึ่งมีความรุนแรงเทียบเท่าเฮอร์ริเคนระดับ 4 กำลังเคลื่อนตัวมุ่งหน้าสู่เกาะไต้หวัน โดยระหว่างนั้นจะเคลื่อนตัวผ่านภูมิภาคใต้สุดของญี่ปุ่นคาดทำให้ฝนตกลมแรง...สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ไต้ฝุ่น “ตู้เจวียน” พายุกำลังแรงซึ่งมีความเร็วลมสูงสุดถึง 210 กม./ชม. หรือเทียบเท่าพายุเฮอร์ริเคนระดับ 4 กำลังเคลื่อนตัวในมหาสมุทรแปซิฟิก และคาดว่าจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งตะวันออกของเกาะไต้หวันในช่วงบ่ายวันจันทร์นี้ (28 ก.ย.) เสี่ยงทำให้เกิดฝนตกหนักและคลื่นลมแรง ไต้ฝุ่น ตู้เจวียน กำลังเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ โดยจะผ่านพื้นที่ทางใต้สุดของหมู่เกาะริวกิวของประเทศญี่ปุ่น และภาคเหนือของไต้หวัน ซึ่งรวมทั้งกรุงไทเป”
เมื่อติดต่อกลับมาทางประเทศไทยผ่านระบบไวไฟซึ่งใช้งานได้เป็นปกติ (เยี่ยมมาก ๆ ) ญาติสนิทมิตรสหายต่างเห็นข่าวแล้วเป็นห่วง ถามไถ่ถึงความเป็นอยู่ ก็บอกกลับมาว่าปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่เลวร้ายอย่างที่ข่าวนำเสนอ แต่คืนนั้นทั้งคืน นอนฟังและหวาดหวั่นกับพายุไต้ฝุ่นนี้พอสมควร เพราะเป็นครั้งแรกที่อยู่ท่ามกลางไต้ฝุ่นที่ไต้หวัน

เช้าวันต่อมา สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย แต่มีคนมาแจ้งว่ารัฐบาลสั่งให้หยุดงานต่อ พอมาอ่านข่าวจึงเห็นว่าถึงความเสียหายพอสมควร “สำนักข่าวกลางของไต้หวัน รายงานว่า พายุไต้ฝุ่นตู้เจวียน ที่พัดถล่มไต้หวัน เมื่อคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้มีฝนตกหนัก และกระแสลมแรงต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ชั่วโมงเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 2 คน บาดเจ็บอีก 324 คน บ้านเรือนอีกกว่า 710,000 หลัง ไม่มีไฟฟ้าใช้ และอีกกว่า 370,000 หลังไม่มีน้ำประปาใช้ด้วย โดยทางการไต้หวันยังได้สั่งปิดโรงเรียน หน่วยงานราชการ และตลาดหุ้นต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังยกเลิกเที่ยวบินระหว่างประเทศ 241 เที่ยว และเที่ยวบินภายในประเทศอีก 144 เที่ยว” ไทยรัฐออนไลน์

           
มองย้อนไปในวันที่ต้องเดินฝ่าสายฝน โต้ลมแรง กลางพายุ เราต่างต้องทิ้งร่ม ทิ้งสัมภาระบางอย่าง เพื่อจะได้เดินหน้าฝ่าไปได้ ก้มหน้าโน้มตัวลงเล็กน้อย เพื่อต้านลมต้านฝน หากเงยหน้าขึ้นเม็ดฝนที่มากับสายลมแรงจะตีเข้าใบหน้า ทำให้คิดถึงในวันที่เราต้องเจอสิ่งเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวงที่เข้ามาในชีวิตแบบไม่ทันตั้งตัว ที่เรียกว่า “พายุชีวิต” สิ่งที่เราทำได้คือเราต้องปล่อยทิ้งบางอย่างลงกลางทาง ทิ้งสิ่งของที่รกรุงรัง ที่อาจจะขังขึงตัวเราไม่ให้ก้าวพ้นผ่านความทุกข์ไปได้ กลางพายุยิ่งตัวเบาเท่าไหร่ยิ่งจะสามารถเดินฝ่าไปได้อย่างไม่ลำบากนัก และหลายครั้งเราก็เห็นว่าสิ่งที่เราเสาะแสวงหา สะสม เก็บเกี่ยวไว้นั้นคือสิ่งที่ฉุดรั้งให้เราพลั้งพลาดล้มลงกลางพายุ ในชีวิตจริงของเราสิ่งที่เราคิดว่าจะช่วยเราให้รอดพ้นได้อาจจะกลายเป็นอุปสรรคทันทีก็เป็นได้เสมอ และที่สุดการน้อมรับสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามรักษาสิ่งที่มีค่าที่สุดนั่นคือ “ชีวิต”ไว้ให้ได้ตลอดรอดฝั่ง หากยอมแพ้ล้มลงคงมีแต่ต้องจมไปกับสายน้ำกลางพายุทุกข์ท้อ ความเชื่อมั่นและมีศรัทธาในคุณค่าของชีวิตที่พระเจ้ามอบให้เรามา การมีสติ ความรอบคอบ ความไม่ประมาทต่างหาก นำมาซึ่งความสดใสหลังจากพ้นผ่านวันคืนอันโหดร้าย

ไม่มีความคิดเห็น: