ขณะนั้น...นิรันดร
เป็นความรู้สึกแปลกๆ รู้สึกใจหายและเกิดเสียดายขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน ในขณะที่วิ่งออกกำลังกายในสวนสาธารณะใต้สะพานแขวน
ที่อยู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกว่า วันเวลานี้ นาทีนี้ มันกำลังจะจากเราไป แบบไม่มีวันได้พบเจอกันอีกเลย
23 เดือนกรกฎาคม ปี 2558 เวลา 18.00 น.จะไม่มีทางวนเวียนกลับมาหาเราอีกแล้ว ดังคำที่ว่าไว้
"สายน้ำและวันเวลาไม่เคยไหลคืน" ใช่.. นั่นเป็นสัจจธรรม แล้วเราได้ทำอะไรให้กับวันเวลาที่ผ่านไปนั้นหรือไม่
อย่างไร ? เคยขอบคุณที่ทำให้เรามีชีวิตผ่านไปอีกหนึ่งวันหรือไม่...และเมื่อเหนื่อยได้ที่ จึงหยุดวิ่งเดินไปนั่งพักที่เก้าอี้ริมแม่น้ำ รับลมยามเย็น
เห็นแสงอาทิตย์ร่ำไรไล่ขอบฟ้า หยิบมือถือและกดถ่ายภาพเก็บไว้ เพื่อบันทึกความทรงจำ
ความงดงาม ของสายน้ำ แสงสะท้อน สะพานที่ทอดยาวออกไปในสายน้ำ ที่ดูเหมือนการรอคอยการกลับมาของวันรุ่ง
เป็นการอำลาและขอบคุณวันเวลาที่ผ่านเข้ามา
ในชีวิตจริงของเราผ่านวันเวลามายาวนานไม่เท่ากัน และคุณค่าของชีวิตของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
คุณค่าของชีวิตของแต่ละคนจึงอยู่ที่คุณค่าของการใช้วันเวลาที่ผ่านเข้ามา นี่จึงเป็นคำถามที่เราต้องตรวจสอบตัวเองเสมอ
ๆ ว่า วัน ๆ หนึ่งที่ผ่านไป เราได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่ามีคุณค่าหรือไม่ ในวัน ๆ หนึ่ง
เราสร้างรอยยิ้ม รอยรัก สร้างสุขสันติ ให้กับใครบ้าง เรามีความปีติไหมในชีวิตประจำวัน
ในวันๆ หนึ่ง เราอยู่กับเครื่องหรือกับผู้คนมากกว่ากัน ยิ่งในยุคที่เราเต็มไปด้วยเทคโนโลยีก้าวล้ำบนฝ่ามือเช่นนี้
บางครั้งเราก็หลงและเสพติดกับมันชนิดที่ไม่สามารถจะโงหัวขึ้นมาได้เลย ก้มหน้าส่องสายตาจิ้มกด
รูดสไลด์ไปมาโดยมิได้เอื้อมมือ ส่งสายตา พบปะหน้าผู้คนรอบข้างกันเลย แล้วก็มักชอบพูดติดปากว่า
"ไม่มีเวลา" ยุ่งกับเรื่องไร้สาระแบบที่พยายามทำให้มีสาระ
ไม่มีแม้ช่วงขณะเพื่อหยุดพัก ทุกอย่างในชีวิตอยู่กับคลื่นสื่อสารตลอดเวลา หรือว่าเราทำให้มันเป็นแบบนี้เอง
แล้วยกให้กลายเป็นเรื่องสำคัญของชีวิตไป
แน่ล่ะ...เราหลีกหนีกับความทันสมัยของเครื่องมือสื่อสารไม่ได้
แต่เราก็เลือกที่จะใช้มันได้ เช่น ในขณะที่เรากำลังรำพึงกล่าวคำอำลาและขอบคุณวันเวลาที่กำลังจะผ่านไป
กล้องมือถือที่เราถือไปในทุกทีก็ช่วยเก็บภาพ ณ ชั่วขณะนั้นไว้ พร้อมกับบทเขียนสั้นๆ
เพื่อให้เราได้ระลึกถึงความงามในนามสิ่งสร้างที่พระเจ้าประทานให้กับเรา
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่หลายคนใช้เครื่องมือเหล่านี้ผิดจึงทำให้ความความสัมพันธ์ของคนเราเปลี่ยนไป
นั่งกินข้าวกันแต่ไม่คุยกัน ต่างแชทคุยกับคนอื่นที่อยู่ไกลออกไป มาเข้าวัดเพื่อร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า
เพื่อทำให้จิตใจสบาย ก็ไม่เคยละวางอุปกรณ์ กับทำให้มันกลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นสายสัมพันธ์ระหว่างเรากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เราไม่มีชั่วขณะอีกต่อไปในชีวิตเรา ไร้สมาธิที่จะพูดคุยกับพระเจ้า ไม่ยอมเงยหน้าสบสายตากับกางเขนตรงหน้า
ไม่กล้าเผชิญหน้าแต่ชอบถ่ายภาพส่งไปโชว์ว่า "เรากำลังอยู่กับพระนะ"
แบบนี้อยู่ก็เหมือนไม่ได้อยู่ เราให้ความสำคัญกับสิ่งใดกันแน่ ใจเรากำลังล่องลอยออกไปหาเพื่อนในอากาศ
พระที่สถิตในใจกำลังถูกละเลยไปทุกขณะ
ในยุคสมัยที่เราให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอก เครื่องสื่อสารต่าง ๆ ที่เปลี่ยนรุ่นอยู่ทุก
ๆ ปี ทำให้ความสัมพันธ์ของคนเราสั้นลงเรื่อย ๆ เรากำลังกลายเป็นชั่วขณะหนึ่งของกันและกัน
เนื่องเพราะว่าขาดความใส่ใจ จริงใจ ในสายใยของมิตรภาพ ใช่หรือไม่ บางครั้งเราขาดหัวใจของความเป็นเพื่อนมนุษย์
เพราะเราเอาหัวใจของเครื่องยนต์กลไกมาแทนที่ คิดถึงก็ส่งข้อความสั้น ๆ อยากคุยด้วยก็ส่งไลน์
"ทำไรอยู่" แล้วก็ไม่ได้สนใจต่อมาว่าเพื่อนคนนั้นจะตอบกลับมาหรือไม่
อย่าให้วันเวลาผ่านไปพร้อมกับความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องที่ขาดหายไป วันคืนผ่านไปไม่หวนกลับ
แต่สำหรับความห่วงใย ความเมตตา สามารถที่จะวนเวียนอยู่ในชีวิตเราได้ตลอดเวลา เงยหน้ามาขอบคุณฟ้าดิน
ดูดดมกลิ่นไอสายฝน อยู่กับคนด้วยหัวใจ ห่วงใยแสวงหาความสุขจากชีวิตจริงที่ไม่ใช่ชีวิตประดิษฐ์ดูบ้าง
แล้วเราจะเห็นค่าของวันเวลาที่กำลังผ่านไป พร้อมทั้งขอบคุณที่ทำให้เราได้พบเจอกับความรักอันเป็นนิรันดร์...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น