วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เพียงรอยยิ้ม

เพียงรอยยิ้ม
            เที่ยงกว่า ๆ ณ บ้านพักหลังถาวร “ศานติคาม” ท่ามกลางคนคุ้นเคย ญาติพี่น้อง มารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อส่งเรือนร่างที่ไร้ลมหายใจให้พักผ่อนตลอดนิรันดร อดที่จะใจหายไม่ได้เมื่ออยู่ ๆ คนที่รู้จักมักจี่ คนที่เคยคุย เคยเล่น หยอกล้อ ต้องมาจากไปอย่างไม่มีวันพบหน้ากันอีก ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ “แม่นุสรา” ของพวกเราก็ห่างหาย ไม่ค่อยได้พบปะกันเป็นแรมปี นานทีจึงเห็นหน้าทักทายกัน เนื่องเพราะร่างกายที่อ่อนโรยลงไปจากโรคภัยคุกคาม จวบจนมาทราบข่าวว่า “แม่นุสรา” นอนอยู่โรงพยาบาล และไม่ปรารถนาจะบอกใครให้ล่วงรู้ เพราะความเกรงใจ ไม่อยากรบกวนผู้ใด พอทราบข่าวเราจึงรวมตัวกันได้กลุ่มใหญ่ทีเดียวและพากันไปเยี่ยม ได้เห็น “รอยยิ้ม” บนใบหน้าที่อิ่มเอม ความเปรมปรีดิ์ การพูดคุย การสวดร่วมกันสร้างกำลังใจให้คนป่วยได้เข้มแข็งขึ้น ทำให้คิดว่า อีกไม่นานเราคงจะได้ยิ้มแย้มจากความน่ารักและอารมณ์ขันของ “แม่นุสรา” แต่... ที่ไหนได้ผ่านไปเพียงสองสัปดาห์เรารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อมาสวดอุทิศแด่ดวงวิญญาณและมาร่วมฝังร่าง อย่างเศร้า ๆ

            ขณะที่ร่วมสวดและเดินไปเพื่อวางดิน ดอกไม้ ลงในหลุม ภาพเหตุการณ์ย้อนกลับไปในอดีต ภาพรอยยิ้ม เสียงพูด กริยาท่าทาง ความสุขที่เคยร่วมกันไหลมาอย่างรวดเร็ว คน ๆ นี้ที่สร้างโลกใบนี้ให้น่าอยู่ด้วยรอยยิ้ม และความซื่อ ๆ สร้างบรรยากาศด้วยเรื่องราวหรรษายามได้พูดคุยทุกครั้งครา การร่ำลาที่กว่าจะแยกย้าย บอกลาแล้วลาอีก เป็นเอกลักษณ์ ทำเอาฮาได้ทุกครั้งไป รอยยิ้ม ที่ได้รับแม้เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ชีวิตที่ติดขัดได้รับการบรรเทาลง ในช่วงจังหวะเวลาที่พบกัน

            ใช่ ในชีวิตจริงย่อมมีเรื่องราวมากมายผ่านเข้ามา ทั้งทุกข์ ทั้งสุข ทั้งดีใจเสียใจปะปนกันไป แต่...อยู่ที่ว่าเราเลือกที่จะเก็บสิ่งใดไว้ในใจเรา บางคนเลือกที่จะมีรอยยิ้มกับความสุขที่ผ่านมา แต่ก็มีไม่น้อยกลับเลือกที่จะเจ็บปวดกับความเสียใจในอดีตที่เกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตเรานั้น อีกไม่นานมันก็จะจากเราไป เหลือทิ้งไว้เพียงแต่ความทรงจำกับวันเวลาปัจจุบันที่เป็นอยู่ ทำไมเราไม่เลือกที่จะเก็บรอยยิ้มนี้ไว้ รอยยิ้มที่จะสร้างสุขให้กับทุกผู้คนได้พบเจอ เราไม่สามารถทำเรื่องใหญ่โตเพื่อสร้างโลกได้ เพียงรอยยิ้มที่มีให้กันอาจจะพลิกชีวิตผู้คนบนโลกนี้ได้
            เรื่องราวของการยิ้มนี้ มีนักวิจัยท่านหนึ่งชื่อ สจ๊อต ซูทเธอแลน วิจัยแล้วพบว่า คนเรายิ้มได้ตั้งแต่เป็นทารกอายุไม่กี่สัปดาห์ และจะเป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องมีการฝึกสอนอะไรทั้งสิ้น  และยังพบอีกว่ารอยยิ้มของเด็กแรกเกิด 8 สัปดาห์เป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ที่สุดในชีวิต  หลังจากนั้นหากอายุที่เพิ่มขึ้นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์จะอยู่ภายใต้เงื่อนไขของสังคม บางคนยิ้มเพื่อทักทายกัน  บางคนยิ้มเพื่อสร้างมิตรภาพ เพื่อให้ดูดีมีเสน่ห์ ยิ้มเพื่อปลอบใจตัวเองเมื่อเจออุปสรรคที่ยิ่งใหญ่  หรือกระทั่งบางคนฝืนยิ้มแก้ปัญหาในสถานการณ์คับขัน
            โบราณท่านว่า “เราจะรู้ว่าเป็นมนุษย์ก็ที่ยิ้มเป็น  หัวเราะได้ จะรู้ใจกว้างขวางก็ที่เอื้อเฟื้ออารี  จะรู้ม้าดี ก็ที่หู จะรู้มณีก็ที่รัศมี    นี่ยิ่งทำให้เรารู้ชัดว่ามนุษย์เท่านั้นที่ยิ้มเป็น   การยิ้มเป็นวัฒนธรรมของมนุษย์ เป็นประดุจแสงอาทิตย์ส่องแสงสว่าง มายังพื้นโลก ให้ความร่าเริงแก่ชาวโลก  ผู้รู้ยังกล่าวไว้ว่า “อาการยิ้มแย้มนั้นเป็นลักษณะแห่งโสมนัสหรรษากอปรด้วยเมตตาการุณย์”
            โลกเรานี้ก็เปรียบเสมือนกระจกเงา เมื่อเรายิ้มเขาจะยิ้มตอบ เมื่อเราหน้าบึ้งเขาจะบึ้งตอบเรา ใช่...ทุกคนชอบหน้ายิ้มและเกลียดหน้าบึ้ง   เพราะยิ้มเป็นคุณก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัวและคนอื่นมากมาย ทำให้ผู้รับได้กำไร และผู้ให้มิต้องสิ้นเปลืองอะไร ยิ่งให้ไปเท่ากับยิ่งได้รับกลับมามากยิ่งขึ้น  การยิ้มช่วยสร้างสรรประโยชน์อย่างมากมาย


            สร้างโลกด้วยรอยยิ้ม ดีกว่าสร้างโลกด้วยรอยหยิ่ง ที่ยิงอารมณ์เกลียด แค้น ใส่กัน โลกที่เราอยู่วันนี้หารอยยิ้มยากยิ่ง เพราะเรามักยึดโยง เกาะเกี่ยวพื้นที่ส่วนตัวเอาไว้กับตัวเองให้แน่นที่สุด ใครเข้ามาใกล้ก็พร้อมที่จะเขม่นหน้าบึ้ง หน้าเข้มเข้าขู่ โลกที่ดูถูกความซื่อ ๆ ไร้เดียงสา โลกที่ข่มเหงความด้อยของคนอื่นเพราะคิดว่าเราเด่นอยู่เพียงผู้เดียว โลกที่วัดค่าราคาคนกับคำพูดที่สวยหรู ที่พรั่งพรูด้วยเล่ห์กลลวง คือ โลกยุคที่เรากำลังเดินวนเวียนอยู่ ที่ต่างคนต่างสร้างรอยด่างดำ สร้างบาปกรรมให้กันอย่างไม่สิ้นสุด แล้วเมื่อไรจึงจะหยุดการกระทำเหล่านี้ รอจนวันตายจากกันหรือ? รอยยิ้มและความซื่อ ๆ ที่มีของคนหนึ่งได้จากไป ทำให้เราต้องย้อนกลับมาดูตัวเราว่า ความสุขที่เราตามหานั้น มันห่างไกลออกไปเพราะเราหลงทาง แท้จริง สุขเริ่มจากใบหน้า สุขอยู่ตรงหน้า นี่คือ สุขที่ซื่อหาซื้อจากไหนไม่ได้แล้ว ยิ้มให้กันบ้าง แม้ว่าจะมีคนมองว่า บ้า ถึงจะบ้าแต่ว่าไม่ทุกข์ร้อน ขอบคุณคุณค่าของชีวิต “แม่นุสรา” ที่สอนให้รู้ถึงคุณค่าในเรื่องเล็ก ๆ ที่สร้างสุขในชีวิตอย่างยั่งยืน... (มารีอา ภัทรภร(นุสรา) แซ่เฮ้ง อดีตกรรมการสภาภิบาลและนักขับร้องวัดเซนต์หลุยส์)

ไม่มีความคิดเห็น: