วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เริ่มที่ตัวเรา

เริ่มที่ตัวเรา
การเรียนรู้ของเราแต่ละคนนั้นย่อมไม่เหมือนกัน บางคนชอบที่จะเรียนรู้ภายในห้องเรียน ห้องอบรมห้องสัมมนา บางคนชอบเรียนรู้จากการอ่านหนังสือ ดูหนังฟังเพลง ท่องโลกกว้างผ่านทางอินเตอร์เน็ต บางคนชอบที่จะท่องไปในโลกกว้างด้วยสองเท้า แต่ขึ้นชื่อว่าการเรียนรู้แล้ว อย่างไรเสียเราย่อมต้องได้รับบทเรียนกลับมาเสมอ การเรียนรู้ที่แท้จริง ไม่ใช่เรียนรู้เพียงเพื่อใบผ่านทาง หรือเพื่อโก้เก๋เท่านั้น โลกนี้มีสิ่งให้เรียนรู้มากมายมหาศาล เรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ยิ่งเรียนยิ่งค้นพบว่าเรานี่แทบไม่รู้อะไรเลย สิ่งที่เห็นมันเพียงเล็กน้อย และสิ่งที่เรียนรู้หากเก็บงำเอาไว้คนเดียวก็ไร้ค่า หรือ นำมาเพื่อโอ้อวดยิ่งด้อยค่าและเสื่อมสภาพลงโดยเร็ว การเรียนรู้ที่แท้จริงเราต้องใส่ “รัก” ลงไป เพื่อให้สิ่งเหล่านั้นแผ่ขยายออกไปสร้างคุณค่าให้กับจิตใจเราและผู้คนรอบข้าง
ด้วยความที่ชอบท่องไปในโลกกว้างด้วยการเที่ยวชมในสถานที่ต่างถิ่น โดยเลือกช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม เหมือนอย่างเช่นในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ได้ถือโอกาสเดินทางไปยังต่างแดนอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการจัดสรรที่ลงตัวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน ทั้ง ๆ ที่เตรียมจองที่พักไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ก่อนเดินทางไม่กี่วันมีผู้ใหญ่ใจดีบอกว่ามีที่พักที่สามารถลดค่าใช้จ่ายได้    เป็นบ้านพักของคณะ  มารีส บราเดอร์(International Marist Brother) ซึ่งอยู่ในบริเวณของโรงเรียนอนุบาล โดยมีบราเดอร์ที่เกษียณแล้ว คอยช่วยเหลือพร้อมทั้งเป็นผู้นำเที่ยวชมเมือง นับว่าเป็นบุญยิ่งนัก
เมื่อไปถึงสิงคโปร์สิ่งแรกที่บราเดอร์ท่านได้ให้ คือตั๋วรถไฟใต้ดิน โดยให้เราเติมเงินลงไป 10 ดอลล่าร์สิงคโปร์ ประมาณ 256 บาท แล้วก็อธิบายถึงสถานีสำคัญ ๆ ที่เราต้องการจะไปเที่ยวชม คืนแรกบราเดอร์พาท่องเมืองโดยเดินเรียบริมแม่น้ำสิงคโปร์ ชมเมืองที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ฝั่งหนึ่งเป็นเมืองเก่า ตึกรามบ้านช่องได้รับการปรับปรุงโดยยังคงรูปแบบเดิม ๆ เอาไว้ แต่ชั้นล่างส่วนใหญ่เปิดเป็นร้านอาหาร ร้านเบียร์ เพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนจากการทำงานหนักตอนกลางวัน คนหนุ่มสาวมักใช้บริเวณนี้เพื่อนัดหมายพบปะ สังสรรค์ ฟังเพลงจากวงดนตรีที่เล่นสด ส่วนมากนักร้องนักดนตรีเป็นชาวฟิลิปปินส์ อีกฝั่งหนึ่งเป็นตึกสมัยใหม่ เป็นที่รวมธนาคารสถาบันการเงินไว้ในแหล่งเดียวกัน โดยมีสิงโตพ่นน้ำสัญลักษณ์ประจำเมืองเป็นฉากหน้า ตึกหลายตึก โรงแรมหลายโรงแรม สะพานข้ามแม่น้ำหลาย ๆ สะพานในบริเวณนี้ ถูกตบแต่งด้วยไฟอันสวยงามยามค่ำคืน ไฟที่ตกแต่ง สิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่ถูกสร้างขึ้นมา โดยมีปรัชญาของการออกแบบเสมอ ไม่ใช่นึกจะสร้างอะไรก็ออกแบบมาเลย ทุกที่มีความหมายแฝงอยู่

ในช่วงระยะเวลา 4 วันในสิงคโปร์สิ่งที่เห็นชัดเจนคือเรื่องของความเป็นระเบียบและความมีมานะ อดทนของคนในชาติ ด้วยว่าสิงคโปร์เป็นเกาะเล็ก ๆ  ที่แยกตัวมาจากประเทศมาเลเซีย แทบไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเอาเสียเลยนอกจากทะเล แต่วันนี้ทั้งเกาะกลับร่มรื่นด้วยป่าไม้เขียวขจี แม้ว่าในฤดูร้อนแบบนี้ก็ยังเห็นความเขียวชอุ่ม และที่สำคัญที่สุด สิงคโปร์กำลังจัดงานฉลองครบ 50 ปี เพียงแค่ 50 ปี ประเทศเล็ก ๆ นี้ กลับพัฒนาขึ้นเป็นประเทศชั้นนำของโลกได้ เพราะผู้คนมีวินัย เคารพระเบียบแบบแผนที่ผู้นำประเทศวางไว้ รู้จักที่จะให้ด้วยการจ่ายภาษีอย่างเคร่งครัด พูดคำขอโทษจนติดเป็นนิสัย ไม่มีโจรขโมย นาน ๆ จะเห็นตำรวจสักคน เวลาไม่อยู่บ้านประตูรั้วไม่ต้องใส่กุญแจ มีความปลอดภัยในชีวิตสูง
แน่นอนวิถีชีวิตคนเมืองก็ไม่ต่างจากคนกรุงเทพฯสักเท่าไหร่ เช้าก็ขึ้นรถไฟอัดแน่นเพื่อไปทำงานในย่านธุรกิจ ใช้เวลาบนรถกับการเล่นสมาร์ทโฟน เดินบนถนนถ้าจะเดินไปเล่นไปต้องชิดซ้าย ขึ้นลงบันไดต้องชิดซ้าย เว้นทางขวาเพื่อให้คนที่รีบเร่ง เนื่องจากคนสิงคโปร์มีหลากหลายเชื้อชาติ ในมุมต่าง ๆ ก็จะมีย่านของชุมชน และยังคงรักษาเอกลักษณ์ของประเพณีพื้นถิ่น จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้เดินชมวิถีชีวิตของชุมชนนั้น ไม่ว่าจะเป็นย่านไชน่าทาว์ ที่ดูคล้ายกับเยาวราชบ้านเรา หรือ ลิตเติ้ลอินเดียคล้ายกับย่านพาหุรัดประมาณนั้น ในทุกย่านมีสถานีรถไฟใต้ดินไปถึงกันหมดอีกสิ่งหนึ่งที่เราอดที่จะทึ่งถึงการพัฒนาเมือง ประเทศของเขาไม่ได้ นั่นคือ การสร้างสถานที่ต่าง ๆ ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว สร้างแม้กระทั่งหาดทราย สวนดอกไม้บนตึก สระว่ายน้ำลอยฟ้า เมืองแห่งเครื่องเล่นมหาสนุก และอีกหลายหลาก
นอกจากนี้ยังมีโอกาสไปร่วมมิสซาวันอาทิตย์ที่วัดดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีย์ Church of The Immaculate Heart of Mary เห็นผู้คนเต็มวัด และรอบมิสซามีถึง 4 รอบ พอ ๆ กับวัดเซนต์หลุยส์ของเราซึ่งมีถึง 5 รอบ บราเดอร์บอกว่าศาสนาคริสต์ในสิงคโปร์มีประมาณ 17-18 % ซึ่งพอ ๆ กับคนที่ระบุว่าไม่นับถือศาสนา สิ่งที่สังเกตเห็นและชื่นชอบเป็นพิเศษคือพวกเด็กช่วยมิสซา ที่เรียบลำดับความสูง นั่งตัวตรง โค้งคำนับพร้อมเพรียง เรียกว่า เป๊ะเว่อร์ ซึ่งมันบ่งบอกถึงการมีระเบียบวินัยตั้งแต่เด็ก มิต้องพูดถึงผู้ใหญ่ ผู้คนที่มาเข้าวัด หาคนมาสายน้อยมาก ออกเสียงสวด ร้องเพลง พร้อมกัน เพราะมีจอโปรเจ็คเตอร์ใหญ่ทั้งสองข้างพระแท่น ขึ้นเนื้อเพลง คำตอบรับพระสงฆ์ ไม่เห็นมีใครยกโทรศัพท์มือถือออกมาเล่น ไม่มีการออกจากวัดก่อนจบพิธี รอจนเพลงสุดท้าย ทุกคนจึงออกจากวัด ด้านข้างวัดมีโรงอาหารที่ขายอาหารในราคาถูก มีโต๊ะให้นั่งกินพูดคุย มีเยาวชนมาช่วยขาย
และเนื่องจากว่าช่วงเวลานี้ประเทศสิงคโปร์กำลังจะเฉลิมฉลองประเทศครบ 50 ปี ทุกภาคส่วนต่างมีส่วนร่วมในการเฉลิมฉลองในครั้งนี้ แม้กระทั่งที่วัดแห่งนี้ก็มีหมายกำหนดการฉลองประเทศด้วยพิธิมิสซาและจัดการเลี้ยงที่วัด โดยเชิญชวนคริสตชนมาร่วมงาน ดูแล้วทุกคนภาคภูมิใจในความเป็นประเทศของเขาอย่างยิ่ง

ครั้นเมื่อกลับถึงเมืองไทยมีหลายเรื่องที่เราเรียนรู้เพื่อทำให้ชีวิตเรามีการพัฒนาให้มากขึ้น คงเริ่มจากการจัดการชีวิตตนเองให้มีระเบียบวินัย การใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ และหยุดที่จะบ่นพร่ำเพรื่อ รู้จักขอโทษ การพัฒนาที่แท้จริงย่อมต้องเริ่มจากการพัฒนาคน เริ่มด้วยการพัฒนาตน ยอมรับในสิ่งที่มี ไม่ต้องร้องเรียกเพรียกหา ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นอยู่ร่ำไป และที่สุดหากเราต้องการสังคมแบบไหน เราก็ต้องเป็นแบบนั้นให้ได้ก่อน

ไม่มีความคิดเห็น: