เริ่มที่ตัวเรา
การเรียนรู้ของเราแต่ละคนนั้นย่อมไม่เหมือนกัน
บางคนชอบที่จะเรียนรู้ภายในห้องเรียน ห้องอบรมห้องสัมมนา
บางคนชอบเรียนรู้จากการอ่านหนังสือ ดูหนังฟังเพลง ท่องโลกกว้างผ่านทางอินเตอร์เน็ต
บางคนชอบที่จะท่องไปในโลกกว้างด้วยสองเท้า แต่ขึ้นชื่อว่าการเรียนรู้แล้ว
อย่างไรเสียเราย่อมต้องได้รับบทเรียนกลับมาเสมอ การเรียนรู้ที่แท้จริง
ไม่ใช่เรียนรู้เพียงเพื่อใบผ่านทาง หรือเพื่อโก้เก๋เท่านั้น
โลกนี้มีสิ่งให้เรียนรู้มากมายมหาศาล เรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ยิ่งเรียนยิ่งค้นพบว่าเรานี่แทบไม่รู้อะไรเลย
สิ่งที่เห็นมันเพียงเล็กน้อย และสิ่งที่เรียนรู้หากเก็บงำเอาไว้คนเดียวก็ไร้ค่า
หรือ นำมาเพื่อโอ้อวดยิ่งด้อยค่าและเสื่อมสภาพลงโดยเร็ว การเรียนรู้ที่แท้จริงเราต้องใส่
“รัก” ลงไป เพื่อให้สิ่งเหล่านั้นแผ่ขยายออกไปสร้างคุณค่าให้กับจิตใจเราและผู้คนรอบข้าง
ด้วยความที่ชอบท่องไปในโลกกว้างด้วยการเที่ยวชมในสถานที่ต่างถิ่น
โดยเลือกช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม เหมือนอย่างเช่นในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา
ได้ถือโอกาสเดินทางไปยังต่างแดนอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการจัดสรรที่ลงตัวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน
ทั้ง ๆ ที่เตรียมจองที่พักไว้เรียบร้อยแล้ว
แต่ก่อนเดินทางไม่กี่วันมีผู้ใหญ่ใจดีบอกว่ามีที่พักที่สามารถลดค่าใช้จ่ายได้ เป็นบ้านพักของคณะ มารีส บราเดอร์(International Marist Brother) ซึ่งอยู่ในบริเวณของโรงเรียนอนุบาล โดยมีบราเดอร์ที่เกษียณแล้ว คอยช่วยเหลือพร้อมทั้งเป็นผู้นำเที่ยวชมเมือง
นับว่าเป็นบุญยิ่งนัก
เมื่อไปถึงสิงคโปร์สิ่งแรกที่บราเดอร์ท่านได้ให้ คือตั๋วรถไฟใต้ดิน
โดยให้เราเติมเงินลงไป 10 ดอลล่าร์สิงคโปร์ ประมาณ 256 บาท
แล้วก็อธิบายถึงสถานีสำคัญ ๆ ที่เราต้องการจะไปเที่ยวชม
คืนแรกบราเดอร์พาท่องเมืองโดยเดินเรียบริมแม่น้ำสิงคโปร์
ชมเมืองที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ฝั่งหนึ่งเป็นเมืองเก่า
ตึกรามบ้านช่องได้รับการปรับปรุงโดยยังคงรูปแบบเดิม ๆ เอาไว้
แต่ชั้นล่างส่วนใหญ่เปิดเป็นร้านอาหาร ร้านเบียร์ เพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนจากการทำงานหนักตอนกลางวัน
คนหนุ่มสาวมักใช้บริเวณนี้เพื่อนัดหมายพบปะ สังสรรค์ ฟังเพลงจากวงดนตรีที่เล่นสด
ส่วนมากนักร้องนักดนตรีเป็นชาวฟิลิปปินส์ อีกฝั่งหนึ่งเป็นตึกสมัยใหม่
เป็นที่รวมธนาคารสถาบันการเงินไว้ในแหล่งเดียวกัน
โดยมีสิงโตพ่นน้ำสัญลักษณ์ประจำเมืองเป็นฉากหน้า ตึกหลายตึก โรงแรมหลายโรงแรม
สะพานข้ามแม่น้ำหลาย ๆ สะพานในบริเวณนี้ ถูกตบแต่งด้วยไฟอันสวยงามยามค่ำคืน ไฟที่ตกแต่ง
สิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่ถูกสร้างขึ้นมา โดยมีปรัชญาของการออกแบบเสมอ
ไม่ใช่นึกจะสร้างอะไรก็ออกแบบมาเลย ทุกที่มีความหมายแฝงอยู่
ในช่วงระยะเวลา 4
วันในสิงคโปร์สิ่งที่เห็นชัดเจนคือเรื่องของความเป็นระเบียบและความมีมานะ
อดทนของคนในชาติ ด้วยว่าสิงคโปร์เป็นเกาะเล็ก ๆ
ที่แยกตัวมาจากประเทศมาเลเซีย
แทบไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเอาเสียเลยนอกจากทะเล แต่วันนี้ทั้งเกาะกลับร่มรื่นด้วยป่าไม้เขียวขจี
แม้ว่าในฤดูร้อนแบบนี้ก็ยังเห็นความเขียวชอุ่ม และที่สำคัญที่สุด
สิงคโปร์กำลังจัดงานฉลองครบ 50 ปี เพียงแค่ 50 ปี ประเทศเล็ก ๆ นี้
กลับพัฒนาขึ้นเป็นประเทศชั้นนำของโลกได้ เพราะผู้คนมีวินัย
เคารพระเบียบแบบแผนที่ผู้นำประเทศวางไว้
รู้จักที่จะให้ด้วยการจ่ายภาษีอย่างเคร่งครัด พูดคำขอโทษจนติดเป็นนิสัย
ไม่มีโจรขโมย นาน ๆ จะเห็นตำรวจสักคน เวลาไม่อยู่บ้านประตูรั้วไม่ต้องใส่กุญแจ
มีความปลอดภัยในชีวิตสูง
แน่นอนวิถีชีวิตคนเมืองก็ไม่ต่างจากคนกรุงเทพฯสักเท่าไหร่
เช้าก็ขึ้นรถไฟอัดแน่นเพื่อไปทำงานในย่านธุรกิจ ใช้เวลาบนรถกับการเล่นสมาร์ทโฟน เดินบนถนนถ้าจะเดินไปเล่นไปต้องชิดซ้าย
ขึ้นลงบันไดต้องชิดซ้าย เว้นทางขวาเพื่อให้คนที่รีบเร่ง
เนื่องจากคนสิงคโปร์มีหลากหลายเชื้อชาติ ในมุมต่าง ๆ ก็จะมีย่านของชุมชน
และยังคงรักษาเอกลักษณ์ของประเพณีพื้นถิ่น
จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้เดินชมวิถีชีวิตของชุมชนนั้น
ไม่ว่าจะเป็นย่านไชน่าทาว์ ที่ดูคล้ายกับเยาวราชบ้านเรา หรือ
ลิตเติ้ลอินเดียคล้ายกับย่านพาหุรัดประมาณนั้น
ในทุกย่านมีสถานีรถไฟใต้ดินไปถึงกันหมดอีกสิ่งหนึ่งที่เราอดที่จะทึ่งถึงการพัฒนาเมือง
ประเทศของเขาไม่ได้ นั่นคือ การสร้างสถานที่ต่าง ๆ ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว
สร้างแม้กระทั่งหาดทราย สวนดอกไม้บนตึก สระว่ายน้ำลอยฟ้า เมืองแห่งเครื่องเล่นมหาสนุก
และอีกหลายหลาก
นอกจากนี้ยังมีโอกาสไปร่วมมิสซาวันอาทิตย์ที่วัดดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีย์
Church
of The Immaculate Heart of Mary เห็นผู้คนเต็มวัด และรอบมิสซามีถึง
4 รอบ พอ ๆ กับวัดเซนต์หลุยส์ของเราซึ่งมีถึง 5 รอบ
บราเดอร์บอกว่าศาสนาคริสต์ในสิงคโปร์มีประมาณ 17-18 % ซึ่งพอ ๆ
กับคนที่ระบุว่าไม่นับถือศาสนา
สิ่งที่สังเกตเห็นและชื่นชอบเป็นพิเศษคือพวกเด็กช่วยมิสซา ที่เรียบลำดับความสูง
นั่งตัวตรง โค้งคำนับพร้อมเพรียง เรียกว่า เป๊ะเว่อร์
ซึ่งมันบ่งบอกถึงการมีระเบียบวินัยตั้งแต่เด็ก มิต้องพูดถึงผู้ใหญ่
ผู้คนที่มาเข้าวัด หาคนมาสายน้อยมาก ออกเสียงสวด ร้องเพลง พร้อมกัน
เพราะมีจอโปรเจ็คเตอร์ใหญ่ทั้งสองข้างพระแท่น ขึ้นเนื้อเพลง คำตอบรับพระสงฆ์
ไม่เห็นมีใครยกโทรศัพท์มือถือออกมาเล่น ไม่มีการออกจากวัดก่อนจบพิธี
รอจนเพลงสุดท้าย ทุกคนจึงออกจากวัด ด้านข้างวัดมีโรงอาหารที่ขายอาหารในราคาถูก
มีโต๊ะให้นั่งกินพูดคุย มีเยาวชนมาช่วยขาย
และเนื่องจากว่าช่วงเวลานี้ประเทศสิงคโปร์กำลังจะเฉลิมฉลองประเทศครบ
50 ปี ทุกภาคส่วนต่างมีส่วนร่วมในการเฉลิมฉลองในครั้งนี้
แม้กระทั่งที่วัดแห่งนี้ก็มีหมายกำหนดการฉลองประเทศด้วยพิธิมิสซาและจัดการเลี้ยงที่วัด
โดยเชิญชวนคริสตชนมาร่วมงาน ดูแล้วทุกคนภาคภูมิใจในความเป็นประเทศของเขาอย่างยิ่ง
ครั้นเมื่อกลับถึงเมืองไทยมีหลายเรื่องที่เราเรียนรู้เพื่อทำให้ชีวิตเรามีการพัฒนาให้มากขึ้น
คงเริ่มจากการจัดการชีวิตตนเองให้มีระเบียบวินัย การใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ และหยุดที่จะบ่นพร่ำเพรื่อ
รู้จักขอโทษ การพัฒนาที่แท้จริงย่อมต้องเริ่มจากการพัฒนาคน เริ่มด้วยการพัฒนาตน
ยอมรับในสิ่งที่มี ไม่ต้องร้องเรียกเพรียกหา ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นอยู่ร่ำไป
และที่สุดหากเราต้องการสังคมแบบไหน เราก็ต้องเป็นแบบนั้นให้ได้ก่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น