วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

กาง กั้น กรอง

กาง กั้น กรอง
ยามบ่ายแสงแดดแรงเหลือหลาย จากความห่างหายไม่ได้พบเจอกับเพื่อนคนเคยคุย พอได้มีเวลาพบปะกันโดยบังเอิญ จึงถือโอกาสสนทนาพาทีในเรื่องต่าง ๆ ที่ต่างก็มีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง ณ มุมห้องในตึกแห่งหนึ่ง ที่มีกระจกกั้นแสงที่สาดส่องผ่านมา แต่ก็ยังมิอาจจะต้านความร้อนแรงของแสงนั้นได้ มู่ลี่จึงถูกกางออกกั้นเพื่อกรองแสงนั้นอีกชั้นหนึ่ง ถึงแม้แสงที่แรงสุดที่สายตาจะต้านทานได้ ครั้นเมื่อมันส่องลงมากระทบใบอ่อนของไม้นานาพันธุ์ หักมุมกระทบถูกที่ถูกจังหวะความสวยงามก็บังเกิดขึ้น ใช่หรือไม่ ในความร้อนแรง ในแสงจ้า ยังมีสิ่งน่ามองน่าชม แล้วในชีวิตที่ดำเนินยามปกติเล่า ย่อมมีสิ่งสวยงามในนามของคุณค่าแห่งพระพรดำรงอยู่เสมอ เพียงแต่ในบางกาละที่เราต้องรู้จัก “กางใจ” “สกัดกั้น” บาปและกิเลส “กรอง” ด้วยมโนสำนึก เท่านี้ชีวิตเราย่อมเดินทางต่อไปท่ามกลางความงดงาม

แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ในการสนทนา สิ่งแวดล้อมในห้วงเวลานั้นมันกลับมาฉายให้เห็นเด่นชัดขึ้น ในช่วงค่ำคืนของวันจันทร์ที่ผ่านมา กับความเศร้าอย่างสุดที่จะบรรยายได้ในเหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์ ท่ามกลางความงวยงง ท่ามกลางความสับสน ของข่าวสารที่มีในช่วงขณะนั้น สิ่งที่ทำได้ในขณะนั้นคือการสวดวิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครองบ้านเมืองเรา อย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นมากไปกว่านี้เลย ภาพแสงที่ลอดผ่านมู่ลี่นั้นบอกให้เราต้องตระหนักจะได้ไม่ตระหนกจนเกินไป และยังสอนให้เรามองเหตุการณ์ด้วยหัวใจแห่งรักและเมตตา..
มนุษย์เรามักใช้ความโง่เขลานำทางได้เสมอ ๆ สงคราม การเข่นฆ่า ยังคงอยู่คู่โลก ตราบเท่าที่ใจของคนเรายังเต็มล้นระคนไปด้วยเพลิงแห่งริษยาอาฆาตแค้น...ระเบิดสนั่นกลางกรุงเทพฯ ชีวิตผู้คนดับสลายกลางสี่แยก แสงเพลิงพวยพุ่งด้วยแรงอัดแห่งความเบาปัญญา ที่มองเห็นชีวิตผู้คนเป็นเพียงเครื่องมือสนองอุดมการณ์ที่ครอบงำนำชีวิตให้วนเวียนอยู่ในโลกสมมุติของตัวเองเท่านั้น ไม่นำพาต่อความเจ็บปวดและทุกข์สาหัสของเพื่อนมนุษย์มองไม่เห็นดวงตาที่ฉ่ำอาบนองไปด้วยน้ำใส ๆ ที่ไหลพราก ยามคนอันเป็นที่รักต้องพลัดพรากจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ไม่เคยรับรู้ถึงความเจ็บปวดร้าวของผู้คน เพียงให้ตนได้ชัยก็เพียงพอ เป็นความโง่เขลาที่กางออกมาโดยไม่ต้องผ่านการกรอง โดยไม่มีเมตตามากั้นกลาง เหตุใดคนเราใจร้ายทำได้ขนาดนี้???สงครามไม่มีวันจบสิ้นตราบเท่าที่ความโง่เขลาเบาปัญญายังคงอยู่คู่มนุษย์ เพียงแต่มันเปลี่ยนรูปแบบไปเท่านั้น
แต่สำหรับเราทั้งหลาย ความเศร้าจากเหตุการณ์อันใกล้ตัวเราในครั้งนี้ ที่มิอาจจะอดกลั้นน้ำตาไว้ได้ ยิ่งทำให้หัวใจเรามีสำนึกร่วมกันมากขึ้นในการที่จะช่วยกันปกป้องชีวิตของคนในสังคม ทำให้เราร่วมมือร่วมใจกันในการสร้างสันติสุขด้วยเมตตาอาทรต่อกัน ความสุขสันติที่เคยมีต้องมีต่อไป อย่าให้ความโง่เขลาเบาปัญญาของคนไม่กี่คนมาขวางกั้น ต้องร่วมกันรักษาให้อยู่คู่กับสังคมไทยเราตลอดไป
ในโลกยุคแห่งความรวดเร็วของการติดต่อหากัน คนบางคนบางกลุ่มที่ไร้เมตตาใช้เป็นเครื่องมือปล่อยข่าว สร้างความหวาดกลัว สร้างรอยช้ำซ้ำเติมความทุกข์ให้เกิดขึ้น อาศัยความอ่อนด้อยคล้อยตามของเราผู้เสพติดสื่อสมัยใหม่ ที่ยังขาดความระมัดระวัง ขาดความตระหนักรู้ ขาดวิจารณญาณ ย่อมตกเป็นเหยื่อของสงครามสมัยใหม่ได้ง่าย สิ่งที่จะช่วยให้เราไม่หลงกลลวงนี้ได้ เราต้องสร้างความฉลาด เฉลียว ต้องรอบครอบ ต้องรู้จักนิ่ง ต้องตระหนักให้ได้ว่าเราคือผู้รับสื่อ อย่าคิดทำตัวเป็นผู้สื่อข่าวเพื่อแผ่กระจาย ต้องกรองข้อมูลให้ดีก่อน และจึงพูดออกไป ไม่เช่นนั้นแรงกระเพื่อมจะถูกส่งออกไป เหมือนแสงที่สาดส่องออกมาโดยมิได้มีอะไรออกมากางกั้น รังแต่จะกลายเป็นสิ่งที่ทวีความร้ายเข้าทำลายความงามของสังคมลงไปอย่างไม่รู้ตัว ในโลกออนไลน์เราควรแบ่งปันความงามให้กันในยามที่ภัยสาธารณะมาเยือน เฉกเช่นที่สำนักข่าวเยอรมันได้นำเสนอ “Nation TV เขารายงานว่า สำนักข่าวเยอรมัน มีมุมมองที่แปลกไปคือเอ่ยถึงความมีน้ำใจของคนไทยว่า ทันทีหลังเกิดระเบิดยังมีควันคลุ้งอยู่ ก็มีคนไทยแถวนั้นวิ่งไปช่วยคนเจ็บทันที ยังมีอีก แม้ว่าสภากาชาดไทยจะประกาศว่ามีเลือดเพียงพอก็ยังมีคนแห่ไปบริจาคเลือด นอกจากนี้ หลังทีวีประกาศหาล่ามจีนเพื่อสื่อสารกับผู้ป่วยซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจีนก็มีผู้อาสามาช่วย จนเกินต้องการ!อีกเรื่องคือ วินมอเตอร์ไซค์แถวสี่แยกราชประสงค์ช่วงที่มีเรื่อง ก็รับส่งผู้โดยสารฟรี”(จาก FaceBook : Kritsada Wiset)
ในวันนี้วันที่เราร่วมกันมาฉลอง “ท่านนักบุญหลุยส์ผู้เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่” ไม่ได้ยิ่งใหญ่เพราะการได้ชัยชนะเหนือคนอื่น ท่านนักบุญยิ่งใหญ่เพราะชัยชนะในหัวใจของผู้คนมากกว่า ท่านนักบุญทำสงครามไม่ใช่เพื่อเพิ่มความขัดแย้ง แต่ท่านกลับเข้าสู่สงครามเพื่อลดความขัดแย้ง ท่านนักบุญหลุยส์กางแขนออกมิใช่เพื่อกวักแกว่งดาบ แต่กางแขนออกเพื่อโอบกอดทุกคนแม้กระทั่งฝ่ายตรงข้าม ท่านนักบุญกั้นความโหดร้ายด้วยความรัก ท่านไม่ใช้สงครามเพื่อ “รบ” แต่เพื่อ “รัก” ต่างหากท่านนักบุญหลุยส์ใช้ความเมตตาเพื่อกรองความแค้นของผู้คนที่ถูกสวมใส่ให้เชื่อในอุดมการณ์ ในอุดมคติ ที่เต็มไปด้วยอคติ และไร้ค่าไร้ศรัทธา ท่านผ่านสนามรบด้วยหัวใจแห่งรักและเมตตา ความสันติสุขจากตัวท่านไหลผ่านไปยังผู้คนมากมายกลายเป็นบรรทัดฐานของสันติภาพของโลกนี้

เราควรนำบทเรียนจากชีวิตของท่านไปใช้ในชีวิตของเรา เพื่อว่าในวันหนึ่งที่เราตกอยู่ในท่ามกลางความขัดแย้ง ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมเล็ก ๆ ในบ้าน ในที่ทำงาน เราจะได้เป็นผู้ที่ช่วยลดความขัดแย้งนั้นลง ด้วยการกางแขนให้อภัย มีเมตตา กั้นแรงโทสะโมหะด้วยความเห็นอกเห็นใจเข้าใจผู้อื่น เพื่อกรองจิตวิญาณของเราให้ใช้ความรักนำทางเสมอ เราจะได้เป็นผู้ที่มีหัวใจของนักรบคุณธรรมคนหนึ่งของสังคมวันนี้...

ไม่มีความคิดเห็น: