วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

บางทีเราก็เข้าใจอะไรผิด

บางทีเราก็เข้าใจอะไรผิด
            ในยุคที่เราใช้วัตถุปัจจัยภายนอกนำการดำรงอยู่ เราจึงมักคิดและติดแนวทางในการใช้ชีวิตแบบวัตถุนิยมไปด้วย ค่าของความดีมักถูกแทนที่ด้วยการประชาสัมพันธ์ เรามักเห็นการทำบุญเพื่อช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากถูกฉาบ ด้วยฉาก ด้วยป้ายชื่อขององค์กร บริษัท ห้างร้าน ที่ฉกฉวยประโยชน์จากกองบุญ มีเมตตาโดยมิต้องโฆษณากันได้ไหม!!! สังคมสงเคราะห์ถูกแทนที่ด้วยการทำCSR เพื่อเพิ่มในพอร์ตของหน่วยงาน หัวใจกรุณาถูกแทนค่าด้วยป้ายไวนิลขนาดใหญ่ การเห็นอกเห็นใจถูกตีค่าด้วยภาพถ่ายยิ้มแย้มยกนิ้วโป้ง like โดยมีชาวบ้านผู้เดือดร้อนเป็นฉากประกอบ ใช่หรือไม่ นี่เป็นความเข้าใจผิดคิดแยกไม่ออกว่า นั่นคือ สิ่งมีชีวิตที่ทุกข์ร้อน มิใช่อุปกรณ์ที่ไร้ชีวิตที่นำมาซ่อมแซมเพื่อเพิ่มมูลค่า
            บางทีเราก็เข้าใจกันผิดที่คิดว่า การให้ได้มาซึ่งจำนวนทรัพย์สินเพิ่มพูน จะเพิ่มสุขให้กับชีวิต ด้วยค่านิยมที่มักนับถือคนที่ร่ำรวย มากกว่าคนที่มุ่งมั่น ให้ความสำคัญกับคนที่มีตำแหน่งมากกว่าคนที่แกร่งกล้ายึดมั่นในทางธรรม ยกย่องเชิดชูคนที่ก่อประโยชน์ให้เรามากกว่าคนที่สวดภาวนาเพื่อเรา
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            บางทีเราก็แยกไม่ออกว่าเราควรสร้างสภาพแวดล้อมด้วย “รัก” มิใช่ใช้การบังคับด้วย “แรง” หากแยกแยะออกว่าเราควรอยู่และใช้ปัจจัยภายนอกอย่างไรให้เป็น ให้รับใช้ เพื่อนำไปสู่หนทางแห่งเมตตาธรรม โดยไม่เรียกร้อง บังคับ ข่มขู่ ด้วยวาจาและกิริยา แต่ให้ความกรุณาเข้าอกเข้าใจ ทำให้สภาพแวดล้อมน่าอยู่ด้วยกันอย่างสันติ บางครั้งต้องลดความระแวงสงสัย เพิ่มความจริงใจให้ต่อกัน คนเรายิ่งถูกบังคับยิ่งขัดขืน ในทางตรงกันข้าม ยิ่งวางใจก็จะได้รับความจริงใจและศรัทธาตอบแทน คนไม่เหมือนเครื่องจักรกลที่ต้องซ่อมแซมปรับปรุงแต่งให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม มีแต่ต้องค่อย ๆ สร้างสมเพิ่มความรักให้กัน แล้วชีวิตจึงจะเติบโตก้าวเดินต่อไป
            บางทีเราก็เข้าใจผิดคิดว่าในคำสอนเรื่องความยากจนนั้นคือการไม่มีเงินทอง หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ สิ่งนี้สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ได้อธิบายคำสอนนี้ไว้อย่างกระจ่างแจ้ง
            ช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงถวายมิสซาในวัดน้อยประจำหอพักซางตา มาร์ธา พระวรสารวันนั้น พระเยซูตรัสกับชายคนหนึ่งที่เข้ามาหาพระองค์และทูลถามว่าจะต้องทำอย่างไร ถึงจะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาไปว่า “จงไปขายทรัพย์สินทุกสิ่งที่ท่านมี และตามเรามา”  ชายคนนั้นทำหน้าเศร้าและเดินจากพระองค์ไป
            พระสันตะปาปาทรงเทศน์แบ่งปันว่า “การยึดติดกับความร่ำรวยคือจุดเริ่มต้นของการโกงทุกรูปแบบ โกงทุกแห่งหน อาทิ โกงในเรื่องส่วนตัว โกงในธุรกิจการค้า โกงแม้แต่การติดสินบนด้วยเรื่องเล็ก ๆ ไล่ไปจนถึงการโกงในแวดวงการเมืองและโกงในแวดวงการศึกษา ทำไมต้องโกง? ก็เพราะคนเหล่านี้ยึดติดกับอำนาจ ยึดติดกับความมั่งคั่งของตน พวกเขาเชื่อว่าตัวเองอยู่บนสวรรค์แล้ว พวกเขาปิดตัวเอง และสุดท้าย พวกเขาก็เอาทุกสิ่งติดตัวไปไม่ได้”
            “นี่คือความลึกลับในการครอบงำความมั่งคั่ง ความร่ำรวยมีความสามารถในการยั่วยวน  มันทำให้เราตกลงไปในการล่อลวง และทำให้เราเชื่อว่าเราอยู่ในสรวงสวรรค์บนโลกนี้ แต่สวรรค์บนโลกคือสถานที่ซึ่งปราศจากขอบเขต การดำเนินชีวิตที่ปราศจากขอบเขตคือชีวิตที่ไร้ประสิทธิภาพ การดำเนินชีวิตที่ปราศจากความหวังคือชีวิตที่น่าเศร้า การยึดติดกับความมั่งคั่งทำให้เราซึมเศร้าและทำให้เราไร้ประสิทธิภาพ
         
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
   “พ่อพูดว่า “คนที่ยึดติด” นะ พ่อไม่ได้พูดว่า “คนที่บริหารจัดการความมั่งคั่งของตัวเองได้ดี” เพราะความร่ำรวยเป็นเรื่องดีสำหรับทุกคน ถ้าพระเจ้าประทานความร่ำรวยให้กับคน ๆ หนึ่ง และความร่ำรวยนั้นถูกใช้เพื่อคุณความดีทั้งหมด ไม่ใช่เพื่อตัวเอง มันก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าใช้เพื่อตัวเองคนเดียว มันก็จะกลายเป็นการคดโกงและเรื่องน่าเศร้า ความร่ำรวยที่ปราศจากความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จะทำให้เราคิดว่าเราทรงอำนาจเหมือนพระเจ้า จุดจบของมันคือจะนำเรื่องดีที่สุดออกไปนั่นคือความหวังในการดำเนินชีวิต” (Page:PopeReport)

            บางทีเราก็ยึดติดผิดที่ผิดทางไป เราไปแสวงหาความร่ำรวยเพื่อเสพติด เราสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อส่งเสริมรูปลักษณ์ภายนอก จึงไม่ได้ทำให้จิตใจเรายากจน จิตใจที่ยากจนนั้นแม้กายจะร่ำรวยก็ย่อมคิดถึงการใช้ความร่ำรวยเพื่อผู้อื่นอย่างบริสุทธิใจ โดยไม่คาดหวังสิ่งใดตอบแทน โดยไม่ต้องประกาศให้โลกรู้ โดยไม่ต้องขอรับโล่ห์เหรียญใด ๆ แท้จริงสิ่งภายนอกที่เราบังคับแสวงหาให้ได้มา ให้มีมิใช่หนทางที่จะนำเราไปสู่สันติได้เลย แต่บางทีโลกวันนี้ กระแสวันนี้ทำให้เราเข้าใจอะไรผิด ๆ มามากมาย หันกลับมามองชีวิตด้วยหัวใจแห่งความงดงาม แล้วความจริงจะปรากฏ

ไม่มีความคิดเห็น: