วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ณ ริมคลอง มองดูความงาม

ณ ริมคลอง มองดูความงาม
            หลังมิสซารอบเที่ยงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสได้ไปเยี่ยมคนคุ้นเคยที่โรงพยาบาลร่วมกับเพื่อนคุ้นชินกลุ่มหนึ่ง เนื่องจากห้องคนป่วยที่ไปเยี่ยมนั้น เป็นห้องรวมที่เต็มไปด้วยคนป่วยสูงอายุเต็มทุกเตียง  ทำให้ตระหนักถึงการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เกิดกับตายนี่เราทุกคนมีเท่ากัน คนละหนึ่งครั้ง ความแก่ก็แล้วแต่อายุขัยของแต่ละคน อายุยืนก็จะแก่ได้นาน ส่วนเรื่องความเจ็บ ล้วนแต่ต้องเผชิญกันทุกผู้คน แล้วไม่รู้ว่าในชีวิตหนึ่งนั้นจะต้องเจ็บสักกี่ครั้ง เจ็บป่วยจากโรคภัยก็ชนิดหนึ่งซึ่งต้องพบเจอกันเสมอ การเจ็บอีกชนิดหนึ่งซึ่งอาจจะนำความทุกข์มาสู่ชีวิตได้ นั่นคืออาการเจ็บป่วยใจ เจ็บป่วยจากข้างในมักจะลุกลามทำให้ร่างกายพลอยต้องล้มป่วยไปด้วย ฉะนั้นแล้วการรักษาสภาพจิตใจให้มั่นคงแข็งแรง ย่อมเป็นภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บที่คุ้มค่าที่สุด
           
และด้วยความต่อเนื่องในมิตรภาพระหว่างกลุ่มจึงได้พากันไปยังบ้านของเพื่อนคนคุ้นชินคนหนึ่ง บ้านริมคลองเล็ก ๆ เด็กๆต่างดีใจที่มีเวลาเล่นสนุกร่วมกันมากกว่าทุกสัปดาห์ เป็นการสนุกรับวันเปิดเทอม เมื่อไปถึงเด็กสาวสองคนขอลงพายเรือ จึงทำให้มีโอกาสมานั่งอยู่ริมคลองมองดูชีวิตของเด็กน้อย เห็นถึงความงดงามของชีวิตผ่านทางกิจกรรม ณ ช่วงเวลานั้น
            คลองหลังบ้านนั้นเป็นคลองขนาดเล็ก เป็นคลองปิดทั้งสองฝากฝังและหัวท้าย คล้าย ๆ เป็นสระน้ำธรรมชาติ มีท้องร่องอยู่สองข้างถูกกั้นด้วยทางดินที่พอเดินได้คนเดียว สุดทางซึ่งไม่ไกลนักเป็นทางกลับเรือเพื่อสู่อีกร่องหนึ่ง หลังจากนำเรือน้อยลงสู่ลู่ร่องน้ำ เตรียมไม้พาย จัดให้ทั้งคู่นั่งลงในเรือเรียบร้อย ก็ปล่อยให้เรือแล่นไปตามท้องร่อง ทำให้เด็กพายเรือแล่นไปได้ไม่ยากนัก เมื่อทั้งสองลงเรือลำเดียวกันก็ต้องช่วยกันพายพาเรือมุ่งสู่ข้างหน้า ใช่หรือไม่ในชีวิตเราก็ลงเรือลำเดียวกันกับหลากหลายผู้คน ต่างเวลาต่างวาระ แล้วในเรือลำนั้น เรามีส่วนร่วมพายให้เรือเดินหน้ามากน้อยแค่ไหน หรือมีบ้างบางหนคนเราเมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้วกลับกลายไม่ช่วยเหลือกัน แถมซ้ำร้ายมือก็ไม่พาย เท้ายังลาน้ำอีก ทำให้เรือมีปัญหาเดินหน้าอย่างเชื่องช้า เรือชีวิตจึงย้ำย่ำอยู่กับที่
            เมื่อเรือของสาวน้อยทั้งสองไปถึงทางกลับ ก็ไปติดแหง็ก ไม่รู้จะต้องบังคับเรือไปทางไหน ทั้งคู่จึงส่งเสียงส่งสายตาเว้าวอนขอความช่วยเหลือ ความจริงเพียงลงเดินไปตามคันดินก็สามารถที่จะไปช่วยให้เรือหันสู่อีกท้องร่องหนึ่งได้ แต่ในใจก็อยากจะลองให้ทั้งสองคิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าดู ด้วยการให้กำลังใจว่า “พวกหนูทำได้ค่อย ๆ ช่วยกันคิดว่าจะพายอย่างไรให้หัวเรือเลี้ยวมาทางขวา” ไม่นานเรือก็ค่อย ๆ เบนหัวเข้าสู่ร่องน้ำทางตรงได้ แม้ว่าจะต้องเสียเวลา ถอยไปถอยมา หัวเรือเสียบเข้าพงหญ้าไปบ้าง

            ในชีวิตจริงไม่มากก็น้อยที่ต้องเสียเวลากับจุดเปลี่ยนจุดหักเห จุดเลี้ยว ชีวิตติดหล่ม เข้ารกเข้าพงหนาม ต้องลองผิดลองถูก กว่าจะก้าวข้ามผ่านมาได้ และหากได้มีใครสักคนช่วยแนะนำ ใส่ความพยายาม มานะ อดทน จุดเปลี่ยนนั้นจะกลายเป็นจุดเริ่มสู่เป้าหมาย เป็นจุดที่เติมเพิ่มพลัง ประสบการณ์นั้นอาจจะมีเจ็บป่วยบ้าง โศกเศร้า ท้อแท้บ้าง แต่มักนำมาซึ่งความชำนาญและความเข้มแข็ง
                        และแล้วเหตุการณ์ที่นำมาซึ่งน้ำตาของสาวน้อย เมื่อพายของคนหนึ่งพลาดไปโดนศีรษะของอีกคนหนึ่ง แต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร คงเป็นเพราะความตกใจน้ำตาจึงไหลออกมา อีกฝ่ายหนึ่งจึงรีบขอโทษ บอกว่าไม่ได้ตั้งใจ เป็นอุบัติเหตุ เรื่องราวจึงผ่านไปทั้งคู่จึงพายต่อไม่นานเรือก็เทียบท่า พักสักครู่ ทั้งสองก็ลองใหม่ ผลปรากฏว่า รอบนี้ทำได้ดีมาก มีแต่เสียงหัวเราะและเริงร่า นี่แหละการเรียนรู้ของชีวิตที่งดงามของเด็ก ๆ
            การขอโทษต่อกันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินหน้าต่อไป การให้อภัยกันเป็นสิ่งที่ผลักดันให้ชีวิตสู่ความสมบูรณ์ ในชีวิตจริงมีน้ำตาได้ ย่อมมีเสียงหัวเราะได้เช่นกัน สิ่งที่ผ่านมาคือปัญหาที่นำไปสู่การมีปัญญา

           
      
เมื่อแสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ถึงเวลาเด็ก ๆ ต้องขึ้นจากเรือ เรือน้อยว่างเปล่า แต่ความสวยงามของชีวิตยังฝังรอยจำไม่จืดจาง ไม่นานพี่เจ้าของบ้าน มานั่งพูดคุยตามประสาคนเคมีเดียวกัน มีคำพูดหนึ่งที่แบ่งปันกัน นั่นคือ ชีวิตของคนเราล้วนดำเนินไปโดยมีพระจิตนำทาง ผ่านทางสติปัญญา ความคิดอ่าน ความรู้ เพียงแต่ว่าเราจะเลือกไว้วางใจแล้วฟังสิ่งที่พระองค์ชี้แนะเรามากแค่ไหน คนเราทุกคนล้วนมีสิ่งดีงาม และด้านมืดด้วยกันทุกคน หากเราเชื่อและฟังพระจิตผู้สถิตในตัวเรา ความงามย่อมปรากฏออกมาให้เห็นตามวาระ ตามจังหวะที่ควรเป็น และพร้อมน้อมรับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นกับเราไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วยหรือความทุกข์ เราจะผ่านไปได้ และผ่านไปด้วยความรักต่อชีวิตที่ประดับด้วยจิตวิญญาณที่แสนงดงาม

ไม่มีความคิดเห็น: