เสมอฟ้า
การเดินทางไปยังต่างที่ต่างถิ่นในยุคสมัยของเรานี้
นับว่าโชคดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะเรามีพัฒนาการด้านคมนาคม
ทำให้ร่นระยะเวลาเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำให้เราเชื่อมโยงติดต่อยังต่างที่ต่างถิ่นได้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางทางอากาศด้วยเครื่องบิน นำความสะดวกสบาย
นำมาซึ่งปฏิสัมพันธ์ของผู้คนทั่วโลกได้อย่างดียิ่ง
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
มีภารกิจที่ต้องเดินทางไปยังต่างจังหวัด ด้วยการใช้บริการของสายการบิน
แต่เนื่องจากตรวจสอบเช็คตารางเวลาแล้วเห็นว่ามีบริการบินอยู่เพียง 2 ช่วงเท่านั้น คือช่วงเช้า และช่วงค่ำ ขาไปจึงได้เลือกช่วงเช้า
ซึ่งเครื่องขึ้นในเวลาประมาณ 06.30 น. เป็นจังหวะเดียวกับพระอาทิตย์เริ่มขึ้น
จากความมืดสู่ความสว่างของวันใหม่ ใช่หรือไม่
สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนส่งเสริมกันและข่มกัน โลกจึงจะเกิดความสมดุลดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด
แต่... เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่
ยามเมื่อเครื่องบินขึ้นสู่ฝากฟ้า
รักษาระดับการบิน บินผ่านฝ่าเข้าไปยังฝูงเมฆ
บางจังหวะบางช่วงลอยขึ้นอยู่เหนือก้อนเมฆ แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในตัวเครื่อง
เห็นพระอาทิตย์ใกล้ขึ้น ดวงตะวันยามเช้า เส้นขอบฟ้า สีสันบนเวหา
ล้วนคือความงามในนามของสิ่งสร้าง ณ เวลานี้เรามาอยู่เสมอฟ้า
แต่ก็คงมิอาจจะเทียบเท่าฟ้าได้ ใจพลันระลึกขึ้นว่า ดูเหมือนเราลอยสูงขึ้นเสมอฟ้า
แต่ก็ยังมีฟ้าที่สูงขึ้นไปอีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เอาเข้าจริงมนุษย์เราคิดประดิษฐ์สิ่งอำนวยความสะดวกได้มากมาย
แต่ยังมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า สิ่งที่งดงามไร้การแต่งเติม
สิ่งที่เหนือกว่าเราอยู่เสมอ
หันมาดูในความเป็นปัจเจกชนคนธรรมดา
เราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ท่ามกลางความหลากหลายมากมาย ในหลายจังหวะชีวิตเราก็มักมีจริตคิดเอาเองว่าเก่งกว่าผู้ใดในโลกล้า
อาจจะเห็นเพียงผนังห้องแคบ ๆ เป็นโลกใบใหญ่
อาจจะหลงกลปีศาจแห่งความยโสโอหังคิดว่าในที่นี้มีเพียงเราเท่านั้นที่ทำได้และเก่งกาจเป็นที่สุด
อาจจะถูกมารยาเข้าครอบงำสวมมงกุฎให้เป็นเทพในพวกพ้อง แต่เมื่อหลุดออกจากเขต
จากกรอบที่ยึดครอง เห็นผู้คนมากมาย เห็นโลกกว้างขึ้น มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้ไม่รู้จบรออยู่ข้างหน้า
บางครั้งถึงกับยืนงงงันไปต่อไม่เป็น หลงทิศหลงทาง กลายเป็นสิ่งอ่อนแออ่อนด้อย
ทำให้ความเย่อหยิ่ง ความโอ้อวด ลดน้อยลง ยอมน้อมรับความอ่อนด้อยของตัวเอง
และปรับปรุงตัวเพื่อให้สอดคล้องกับสรรพสิ่งรอบข้างตัว รู้จักถาม รู้จักฟัง
รู้จักทำตามคำแนะนำของผู้อื่น คนเราจะให้ดีไปเสียทุกอย่างนั้นคงเป็นไปไม่ได้
ได้อย่างหนึ่ง มักเสียอย่างหนึ่งเสมอ จะให้เก่งไปเสียทุกเรื่องคงไม่มี
จะให้รู้ทุกสิ่งคงเป็นไปไม่ได้ เราจึงไม่ควรเย่อหยิ่งลำพอง ไม่ควรคิดว่าตัวเอง
ยิ่งใหญ่ที่สุด
เดิมที สิงโตเป็นสัตว์ที่อ่อนแอ
หาความสง่างามมิได้เลย มันรู้สึกหดหู่อย่างยิ่ง จึงคร่ำครวญต่อเทพเจ้าทุกวัน
จนกระทั้งเทพเจ้าทนไม่ไหว เสกให้สิงโตกลายเป็นสัตว์ใหญ่ที่แข็งแรงและสง่างามที่สุด
แต่ว่าสิงโตก็ยังไม่พอใจโอดครวญต่อเทพเจ้าว่า “ข้าพเจ้ายังกลัวไก่โต้ง”
เทพเจ้าตอบว่า “ข้าได้ประทานสิ่งที่วิเศษที่สุดให้แก่เจ้าแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก”
สิงโตรู้สึกเสียใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
ในขณะที่มันกำลังคิดที่จะฆ่าตัวตายนั้นเอง มันก็พบช้างตัวหนึ่ง
ช้างพูดพลางกระดิกหูไปมา สิงโตจึงถามช้างว่า
“ทำไมต้องกระดิกหูอยู่ตลอดเวลา”
ช้างตอบว่า “แกเห็นยุงตัวเล็ก ๆ ที่ตอมอยู่รอบ ๆ ตัวของฉันหรือเปล่า
ถ้าหากมันบินเข้าไปในหูของฉันละก้อ ฉันคงจะตายแน่ๆ”
สิงโตได้ฟังแล้ว
จึงรำพึงขึ้นว่า “แม้แต่สัตว์ใหญ่อย่างช้าง
ยังกลัวยุงตัวเล็ก ๆ ถ้าเช่นนี้ ทำไมฉันจะต้องเสียใจที่ตัวเองกลัวไก่โต้งด้วยเล่า”
...
เห็นความสับสนว้าวุ่นของเรา
และของผู้คนในสังคมวันนี้แล้ว นั่นคงเป็นเพราะเราต่างคนต่างคิดว่า สิ่งที่ทำอยู่
เป็นอยู่ คือ สิ่งที่ถูกต้องที่สุด
แล้วก็มักหลงใหลไปในกระแสที่สร้างให้เราจมอยู่กับความเก่งของตัวเองอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ในบางครั้งเมื่อมีผู้อื่นนำสิ่งที่ดีกว่า สูงค่ากว่ามามอบให้ เรากลับไม่ยอมรับไว้
ซ้ำร้ายวันนี้เรายังติดนิสัยที่จะจับผิดกันไปมา
เพื่อที่จะทำให้ตัวเองดูสูงล้ำกว่าคนอื่น ใช่หรือไม่ ยิ่งเราทำตัวให้เสมอฟ้า
ฟ้าก็มิอาจจะอยู่ให้เราเทียบได้ แต่หากเรายอมรับที่จะอยู่ใต้ฟ้า ฟ้าย่อมให้ร่มเงา
ให้ความสวยงามในยามค่ำคืนแก่เรามิใช่หรือ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น