วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สงครามโลภ ครั้งแล้วครั้งเล่า

สงครามโลภ ครั้งแล้วครั้งเล่า
ในขณะที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังสนุกสนานกับกระแส Ice Bucket Challenge เพื่อการกุศล ซึ่งก็มีทั้งที่ทำจริงและทำเพื่อไม่ให้ตกกระแส ใครจะทำเพื่อโชว์เพื่อช่วยก็ว่ากันไป แต่ในอีกมุมหนึ่งของโลกกำลังตกอยู่ในความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส จากความโหดร้ายของน้ำมือมนุษย์ด้วยกันเอง และกำลังลุกลามขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่านี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของ “สงครามครั้งใหญ่” อีกครั้งของมวลมนุษย์โลกก็อาจจะกล่าวได้ ความโหดร้ายของคนที่ทำกับคน โดยกล่าวอ้างในนามศาสนานั้น แท้จริงแล้วมันคือ “ความโลภ” เพียงเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่ว่าสงครามครั้งไหนๆ ล้วนแล้วเริ่มต้นจากความโลภ และจบลงด้วยความสูญเสียกันทั้งสิ้น
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เป็นสงครามใหญ่ ที่มีศูนย์กลางในยุโรป ระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ถึง 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918  ต่างฝ่ายต่างคิดว่าประเทศตัวเองเป็นมหาอำนาจ จึงต้องการจัดระเบียบโลกใหม่ จนขยายตัวเมื่อมีชาติเข้าสู่สงครามมากขึ้น ท้ายสุด มีทหารกว่า 70 ล้านนาย ซึ่งเป็นทหารยุโรปเสีย 60 ล้านนาย ถูกระดมเข้าสู่สงคราม มีทหารผู้เข้าร่วมรบเสียชีวิตเกิน 9 ล้านนาย สาเหตุหลักเพราะความร้ายแรงของอาวุธที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นสงครามที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์อันดับที่หก มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บและสูญหาย รวมกันไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคน 
อีกเพียง 20 ปีกว่าๆต่อมา สงครามโลกครั้งที่สอง ก็อุบัติขึ้น เป็นความขัดแย้งทางทหารระดับโลกตั้งแต่ ค.ศ. 1939 ถึง 1945 ประเทศผู้ร่วมสงครามต่างรวมตัวกันเป็นพันธมิตรทางทหารแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ มีการระดมทหารกว่า 100 ล้านนาย ประเทศผู้ร่วมสงครามหลักได้ทุ่มเทขีดความสามารถทั้งทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์เพื่อทำสงครามครั้งนี้ ประเมินกันว่าสงครามมีมูลค่าราว 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สงครามโลกครั้งที่สองจึงนับว่าเป็นสงครามขนาดใหญ่ที่สุด ใช้เงินทุนมากที่สุด และนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ มีผู้เสียชีวิตระหว่าง 40 ถึงมากกว่า 70 ล้านคน จากทั้งสองครั้งล้วนมาจากการแย่งกันเป็นใหญ่ เป็นอภิมหาความโลภของมนุษย์โลก
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ใช่หรือไม่ ชีวิตผู้คนที่ต้องเสียไปกับสงครามเป็นจำนวนมากมาย นี่ยังไม่นับรวมผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ต้องทุกข์ทนกับภัยแห่งความโลภของคนอีกนับไม่ถ้วน มนุษย์เราผ่านบทเรียนมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มนุษย์เราก็ไม่เคยเลยที่จะนำมาเป็นบทเรียนเพื่อพัฒนาหัวจิตหัวใจให้เจริญขึ้น เพื่อให้ผู้คนร่วมโลกอยู่กันอย่างผาสุก สงครามครั้งใหม่ที่กำลังก่อขึ้นก็มาจาก “ความโลภ” ที่ต้องการครอบครองทรัพยากรโลก แหล่งพลังงาน ที่เชื่อกันว่าหากใครได้ครอบครองจะขึ้นเป็นผู้มีอำนาจในการจัดระเบียบโลกใหม่ภายใต้คำบัญชาของประเทศตน มีการจัดกองกำลังเพื่อแทรกแซงทางการเมือง  เศรษฐกิจ สังคม มาอย่างยาวนาน แต่ยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร จนกระทั่งหันมาใช้ความเชื่อความศรัทธาเป็นชนวนจุดความขัดแย้ง อย่างที่เรากำลังเห็นในข่าว กองกำลัง IS หรือ ISIS    เป็นคำย่อ ชื่อเต็มๆ คือ The Islamic State in Iraq and Syria กลุ่ม ISIS ถือว่าเป็นกลุ่มกองกำลังที่ทั้งรุนแรงและถือว่าหัวโบราณ เป็นกองกำลังที่รุนแรงขนาดกลุ่มอัลกออิดะห์ยังไม่สามารถควบคุมหรือยอมรับได้ เมื่อก่อนกลุ่ม ISIS เป็นส่วนหนึ่งของอัลกออิดะห์ แต่กลุ่มอัลกออิดะห์คิดว่ากลุ่ม ISIS นั้นรุนแรงเกินกว่าที่พวกเขาจะควบคุมได้ เป้าหมายของ ISIS คือตั้ง รัฐอิสลาม เพื่อบริหารพื้นที่ของประเทศอิรักและซีเรีย (ผู้นำศาสนาอิสลามไม่เคยเห็นด้วยกับแนวทางนี้)
จากจุดนี้เองกองกำลังนี้ได้ประกาศให้คนนับถือศาสนาอื่นให้ออกไปจากเมืองที่พวกเขาเข้าไปยึดครอง หรือไม่ก็ให้หันกลับมานับถือศาสนาอิสลาม หากใครไม่ยอมก็จะถูกฆ่าตาย และมีผู้ที่ต้องสังเวยชีวิตนี้มาแล้วเป็นจำนวนมาก จุดประสงค์ที่แท้จริงเหมือนต้องการจะเร่งให้เกิดความขัดแย้งทางศาสนาครั้งใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม แต่ศาสนานั้นไม่ใช่ความโหดร้าย ศาสนานั้นคือสิ่งงดงามที่ช่วยขัดเกลาจิตใจของผู้คน คนที่นำศาสนามากล่าวอ้าง แท้จริงคือ ความโลภอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยความพยายามอย่างที่สุดพวกนี้จึงทำการอย่างบ้าคลั่ง ล่าสุดนำนักข่าวที่เป็นคาทอลิกถูกจับเป็นตัวประกันและทำการสังหารโหด โชว์ภาพให้เห็นกันไปทั่วโลก สร้างความหดหู่ในหัวใจแห่งสันติของผู้คนอีกเป็นจำนวนมาก 
บีบีซีรายงานว่า ครอบครัวของนายเจมส์ โฟลีย์ เปิดจดหมายฉบับสุดท้ายของนักข่าวหนุ่มผู้นี้ที่ส่งถึงครอบครัวและเพื่อน โดยวานให้เพื่อนเชลยเขียนให้ในช่วงถูกจับตัว ทั้งนี้ เพื่อนของนายโฟลีย์ที่รอดพ้นการกักขังของไอเอสออกมา ส่งจดหมายนี้ให้กับครอบครัวนายโฟลีย์ในภายหลัง มีใจความบางตอนดังนี้
“ถึงครอบครัวและเพื่อนๆ ….ผมจำได้ถึงตอนไปห้างกับพ่อ ขี่จักรยานไกลมากกับแม่ ผมนึกถึงช่วงเวลาแสนสุขกับครอบครัว เป็นสิ่งที่ช่วยพาผมออกจากเรือนจำแห่งนี้ การฝันถึงครอบครัวและเพื่อนพาผมไปได้ และเติมเต็มความสุขในหัวใจ ผมรู้ว่าทุกคนคิดถึงผมและสวดภาวนาให้ผม ผมขอบคุณจริงๆ ผมรู้สึกว่าทุกคนเป็นคนพิเศษ ผมสวดภาวนาให้ทุกคนเข้มแข็งและมีศรัทธา ผมรู้สึกจริงๆว่า ผมสัมผัสทุกคนได้ในความมืดที่ผมสวดภาวนาอยู่นี้...... “จิม”

และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาพระอัครสังฆราช ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ได้มาเป็นประธาน ในพิธีมิสซาฉลองวัดของเรา ในตอนท้ายของการให้โอวาท พระคุณเจ้าได้เชิญชวนพวกเราสวดภาวนาเพื่อสันติภาพในประเทศอิรักและซีเรีย สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ตรัสไว้ว่า “พวกเราต้องสวดภาวนา สันติภาพคือของขวัญจากพระเจ้า มันคือของขวัญ แต่เราสมควรได้รับมันด้วยการทำงานของเรา การที่จะบอกกับมนุษยชาติว่า หนทางของการเสวนาคือสิ่งสำคัญ การเจรจาเป็นสิ่งจำเป็น แต่การภาวนาก็เป็นอีกสิ่งสำคัญด้วยเช่นกัน" 
นอกจากการสวดภาวนาแล้วสิ่งหนึ่งที่เราต้องอย่าลืมคือ ละความโลภของเราลงบ้าง อย่างน้อยๆก็ช่วยลดความขัดแย้งกับคนรอบๆข้าง สร้างสันติในชุมชน…

ไม่มีความคิดเห็น: