สงครามโลภ ครั้งแล้วครั้งเล่า
ในขณะที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังสนุกสนานกับกระแส
Ice Bucket Challenge เพื่อการกุศล
ซึ่งก็มีทั้งที่ทำจริงและทำเพื่อไม่ให้ตกกระแส ใครจะทำเพื่อโชว์เพื่อช่วยก็ว่ากันไป
แต่ในอีกมุมหนึ่งของโลกกำลังตกอยู่ในความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส จากความโหดร้ายของน้ำมือมนุษย์ด้วยกันเอง
และกำลังลุกลามขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่านี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของ “สงครามครั้งใหญ่”
อีกครั้งของมวลมนุษย์โลกก็อาจจะกล่าวได้ ความโหดร้ายของคนที่ทำกับคน โดยกล่าวอ้างในนามศาสนานั้น
แท้จริงแล้วมันคือ “ความโลภ” เพียงเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่ว่าสงครามครั้งไหนๆ
ล้วนแล้วเริ่มต้นจากความโลภ และจบลงด้วยความสูญเสียกันทั้งสิ้น
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
เป็นสงครามใหญ่ ที่มีศูนย์กลางในยุโรป ระหว่างวันที่ 28
กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ถึง 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ต่างฝ่ายต่างคิดว่าประเทศตัวเองเป็นมหาอำนาจ
จึงต้องการจัดระเบียบโลกใหม่ จนขยายตัวเมื่อมีชาติเข้าสู่สงครามมากขึ้น ท้ายสุด
มีทหารกว่า 70 ล้านนาย ซึ่งเป็นทหารยุโรปเสีย 60 ล้านนาย ถูกระดมเข้าสู่สงคราม มีทหารผู้เข้าร่วมรบเสียชีวิตเกิน 9
ล้านนาย
สาเหตุหลักเพราะความร้ายแรงของอาวุธที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นสงครามที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์อันดับที่หก
มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บและสูญหาย รวมกันไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคน
อีกเพียง
20 ปีกว่าๆต่อมา สงครามโลกครั้งที่สอง
ก็อุบัติขึ้น เป็นความขัดแย้งทางทหารระดับโลกตั้งแต่ ค.ศ. 1939 ถึง 1945 ประเทศผู้ร่วมสงครามต่างรวมตัวกันเป็นพันธมิตรทางทหารแบ่งออกเป็นสองฝ่าย
คือ ฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ มีการระดมทหารกว่า 100 ล้านนาย ประเทศผู้ร่วมสงครามหลักได้ทุ่มเทขีดความสามารถทั้งทางเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์เพื่อทำสงครามครั้งนี้ ประเมินกันว่าสงครามมีมูลค่าราว 1
ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สงครามโลกครั้งที่สองจึงนับว่าเป็นสงครามขนาดใหญ่ที่สุด
ใช้เงินทุนมากที่สุด และนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ มีผู้เสียชีวิตระหว่าง
40 ถึงมากกว่า 70 ล้านคน จากทั้งสองครั้งล้วนมาจากการแย่งกันเป็นใหญ่
เป็นอภิมหาความโลภของมนุษย์โลก
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
ใช่หรือไม่
ชีวิตผู้คนที่ต้องเสียไปกับสงครามเป็นจำนวนมากมาย
นี่ยังไม่นับรวมผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ต้องทุกข์ทนกับภัยแห่งความโลภของคนอีกนับไม่ถ้วน
มนุษย์เราผ่านบทเรียนมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มนุษย์เราก็ไม่เคยเลยที่จะนำมาเป็นบทเรียนเพื่อพัฒนาหัวจิตหัวใจให้เจริญขึ้น
เพื่อให้ผู้คนร่วมโลกอยู่กันอย่างผาสุก สงครามครั้งใหม่ที่กำลังก่อขึ้นก็มาจาก “ความโลภ”
ที่ต้องการครอบครองทรัพยากรโลก แหล่งพลังงาน ที่เชื่อกันว่าหากใครได้ครอบครองจะขึ้นเป็นผู้มีอำนาจในการจัดระเบียบโลกใหม่ภายใต้คำบัญชาของประเทศตน
มีการจัดกองกำลังเพื่อแทรกแซงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม มาอย่างยาวนาน
แต่ยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร จนกระทั่งหันมาใช้ความเชื่อความศรัทธาเป็นชนวนจุดความขัดแย้ง
อย่างที่เรากำลังเห็นในข่าว กองกำลัง IS หรือ ISIS
เป็นคำย่อ ชื่อเต็มๆ คือ The Islamic State in Iraq
and Syria
กลุ่ม ISIS
ถือว่าเป็นกลุ่มกองกำลังที่ทั้งรุนแรงและถือว่าหัวโบราณ
เป็นกองกำลังที่รุนแรงขนาดกลุ่มอัลกออิดะห์ยังไม่สามารถควบคุมหรือยอมรับได้
เมื่อก่อนกลุ่ม ISIS
เป็นส่วนหนึ่งของอัลกออิดะห์ แต่กลุ่มอัลกออิดะห์คิดว่ากลุ่ม ISIS
นั้นรุนแรงเกินกว่าที่พวกเขาจะควบคุมได้ เป้าหมายของ ISIS
คือตั้ง รัฐอิสลาม เพื่อบริหารพื้นที่ของประเทศอิรักและซีเรีย (ผู้นำศาสนาอิสลามไม่เคยเห็นด้วยกับแนวทางนี้)
จากจุดนี้เองกองกำลังนี้ได้ประกาศให้คนนับถือศาสนาอื่นให้ออกไปจากเมืองที่พวกเขาเข้าไปยึดครอง
หรือไม่ก็ให้หันกลับมานับถือศาสนาอิสลาม หากใครไม่ยอมก็จะถูกฆ่าตาย และมีผู้ที่ต้องสังเวยชีวิตนี้มาแล้วเป็นจำนวนมาก
จุดประสงค์ที่แท้จริงเหมือนต้องการจะเร่งให้เกิดความขัดแย้งทางศาสนาครั้งใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม
แต่ศาสนานั้นไม่ใช่ความโหดร้าย ศาสนานั้นคือสิ่งงดงามที่ช่วยขัดเกลาจิตใจของผู้คน
คนที่นำศาสนามากล่าวอ้าง แท้จริงคือ ความโลภอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยความพยายามอย่างที่สุดพวกนี้จึงทำการอย่างบ้าคลั่ง
ล่าสุดนำนักข่าวที่เป็นคาทอลิกถูกจับเป็นตัวประกันและทำการสังหารโหด โชว์ภาพให้เห็นกันไปทั่วโลก
สร้างความหดหู่ในหัวใจแห่งสันติของผู้คนอีกเป็นจำนวนมาก
บีบีซีรายงานว่า
ครอบครัวของนายเจมส์ โฟลีย์ เปิดจดหมายฉบับสุดท้ายของนักข่าวหนุ่มผู้นี้ที่ส่งถึงครอบครัวและเพื่อน
โดยวานให้เพื่อนเชลยเขียนให้ในช่วงถูกจับตัว ทั้งนี้ เพื่อนของนายโฟลีย์ที่รอดพ้นการกักขังของไอเอสออกมา
ส่งจดหมายนี้ให้กับครอบครัวนายโฟลีย์ในภายหลัง มีใจความบางตอนดังนี้
“ถึงครอบครัวและเพื่อนๆ ….ผมจำได้ถึงตอนไปห้างกับพ่อ ขี่จักรยานไกลมากกับแม่
ผมนึกถึงช่วงเวลาแสนสุขกับครอบครัว เป็นสิ่งที่ช่วยพาผมออกจากเรือนจำแห่งนี้ การฝันถึงครอบครัวและเพื่อนพาผมไปได้
และเติมเต็มความสุขในหัวใจ ผมรู้ว่าทุกคนคิดถึงผมและสวดภาวนาให้ผม
ผมขอบคุณจริงๆ ผมรู้สึกว่าทุกคนเป็นคนพิเศษ ผมสวดภาวนาให้ทุกคนเข้มแข็งและมีศรัทธา
ผมรู้สึกจริงๆว่า ผมสัมผัสทุกคนได้ในความมืดที่ผมสวดภาวนาอยู่นี้...... “จิม”
และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาพระอัครสังฆราช
ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ได้มาเป็นประธาน
ในพิธีมิสซาฉลองวัดของเรา ในตอนท้ายของการให้โอวาท
พระคุณเจ้าได้เชิญชวนพวกเราสวดภาวนาเพื่อสันติภาพในประเทศอิรักและซีเรีย สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส
ตรัสไว้ว่า “พวกเราต้องสวดภาวนา
สันติภาพคือของขวัญจากพระเจ้า มันคือของขวัญ แต่เราสมควรได้รับมันด้วยการทำงานของเรา
การที่จะบอกกับมนุษยชาติว่า หนทางของการเสวนาคือสิ่งสำคัญ การเจรจาเป็นสิ่งจำเป็น แต่การภาวนาก็เป็นอีกสิ่งสำคัญด้วยเช่นกัน"
นอกจากการสวดภาวนาแล้วสิ่งหนึ่งที่เราต้องอย่าลืมคือ ละความโลภของเราลงบ้าง อย่างน้อยๆก็ช่วยลดความขัดแย้งกับคนรอบๆข้าง สร้างสันติในชุมชน…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น