วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

บาป บุญ เงิน ทอง

บาป  บุญ เงิน ทอง
ในสื่อต่างๆ ดูๆไปมีแต่ข่าวร้ายๆให้เห็นทุกวัน ยิ่งสื่อมีความรวดเร็ว ข่าวเหล่านี้ก็ปรากฎให้เห็นเต็มทุกพื้นที่ แต่อายุข่าวก็แสนสั้น เพราะในวันๆหนึ่ง ข่าวร้าย ข่าวรัก ข่าวเลิก ข่าวลือ ข่าวลวงล้วนโบยบินมามากมาย ข่าวนี้ยังไม่ทันจาง ข่าวร้ายใหม่ก็มีตามมา ใครที่ไร้ภูมิก็มักจะหลงเข้าไปจมอยู่ในกระแส คล้อยตาม ก่อให้เกิดความเครียด ความเศร้าใจ ครั้นพอได้เสพมากๆเข้า ก็กลายเป็นความชินชา ชาเย็นต่อความทุกข์ร้อนของผู้ตกเป็นเหยื่อในข่าวร้ายนั้น แถมยังสมน้ำหน้า ก่นด่าว่าร้ายเหยื่อก็มี
ในยุคที่ “ข่าวร้ายลงฟรีแต่ข่าวดีต้องเสียตังค์” เป็นคำที่นำมาบอกกล่าวถึงจรรยาบรรณนักสื่อสารสมัยใหม่ที่เริ่มเสื่อมถอยลง มุ่งทำแต่ข่าวเพื่อสร้างพื้นที่ให้ตัวเอง ที่จะนำไปสู่การเป็นพาณิชย์ธุรกิจข่าว เดี๋ยวนี้ข่าวทำกันแบบมักง่ายมาก เพียงแค่ตามสื่อส่วนตัวของคนมีอำนาจ มีชื่อเสียง ดารา เห็นเขาโพสต์อะไรก็สามารถนำมาเขียนข่าว นำมาขึ้นจั่วหัวเป็นข่าวปั่นให้คนเข้ามาอ่าน มาติดตามเยอะ เพื่อจะได้หาโฆษณามาลงในสื่อตน ทำยังไงก็ได้เพื่อขายได้ เพราะดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้เงินทองซื้อหา และพร้อมทำทุกอย่างเพื่อเงินทองโดยไม่คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษกันแล้ว
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
หรือแม้กระทั่งการก่อกำเนิดชีวิตคนเราสมัยนี้ยังต้องอาศัยเงินทอง จากข่าวที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่รับตั้งครรภ์ให้ชาวต่างชาติด้วยค่าจ้างสามแสนบาท ที่เรียกกันว่า “อุ้มบุญ”  จนกระทั่งเกิดเด็กที่ไม่สมบูรณ์ พ่อแม่ชาวต่างชาติไม่รับเอากลับไปเลี้ยงดู ผู้หญิงที่ “รับจ้าง” ท้อง จึงต้องเลี้ยงดูเด็กน้อยที่ป่วยด้วยโรคหลากหลายด้วยตัวเอง เธอบอกว่าสงสารเด็ก เมื่อเรื่องนี้ดังบนสื่อออนไลน์จนกลายเป็นกระแส นำมาซึ่งข้อมูลใหม่ๆจนน่าตกใจว่าเมืองไทยเราเป็น “มดลูกโลก” ที่ใครมีเงินและอยากสร้างชีวิตโดยไม่ต้องตั้งครรภ์เอง หรือมีลูกยากแต่อยากมี ก็มาจ้างคนไทยอุ้มท้องให้ในราคาที่แสนจะถูก มีการทำกันอย่างเป็นระบบเป็นธุรกิจ ซ้ำร้ายบางคนคิดการใหญ่ ทำให้เกิดการปฏิสนธิเพื่อนำเซลล์ไปเก็บรักษาไว้เป็น “สเต็มเซลล์” เอาไว้ขาย ยิ่งติดตามอ่านข่าวนี้ ยิ่งหดหู่ใจ ที่เดี๋ยวนี้สมัยนี้ เราทำทุกอย่างเพื่อการค้าการขาย เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทองกองโต ทำอะไรก็ต้องมีเงินมีทองนำหน้า ไม่ได้คำนึงกันแล้วว่าอะไรคือ บุญ คือ บาป อะไร คือ เรื่องจิตวิญญาณ ที่ไม่สามารถนำเงินนำทองมาแลกเปลี่ยนได้ วันนี้เราแยกแยะกันไม่ออกจริงเลยหรือ
คุณพ่ออนุสรณ์ แก้วขจร ได้แต่งบทกวีเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ อ่านแล้วได้บทสอนสะท้อนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้เราเหลือความเป็นมนุษย์กันเท่าไร ?????

....การให้กำเนิดชีวิต
ใช่แค่คิด อยากมี และอยากได้
ใช่แค่ สิ่งของ สนองใคร
ใช่แค่ ธุรกิจให้ บริการ
....ชีวิต ใช่เพียง แค่ผักปลา
ซื้อหา ง่ายง่าย หลายย่อมย่าน
หากแต่ ชีวิต มีจิตวิญญาณ
สืบสาน สัมพันธ์ มั่นในรัก
....ผู้ให้กำเนิดชีวิต
ขอดวง ใจจิต จงตระหนัก
เงินทอง กองโต เท่าใดนัก
มิจัก เท่ารักจริง จากใจคุณ
....จะอุ้มชู ชีวิตใด ชีวิตหนึ่ง
ความรัก ลึกซึ้ง พึงเกื้อหนุน
หากแต่ เห็นเงินทอง เป็นกองทุน
อุ้มบุญ ก็อุ้มบาป ตราบนั้นเอง
(ภัศม์ : ผู้ประพันธ์ จาก Facebook : Pasama Ratanakhachorn)
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
หรือว่า มนุษย์กำลังสิ้นความเป็นมนุษย์และมีความเป็นมนุษย์เหลือน้อยลงทุกวัน แม้แต่กฎหมายยังไม่มีมาควบคุมดูแล จะเอาผิดได้ก็เฉพาะแพทย์ สถานพยาบาลที่กระทำการฝ่าฝืนประกาศของแพทยสภา ซึ่งแพทย์และสถานพยาบาลหลายๆที่ก็เห็นแก่เงิน รวมค่าใช้จ่ายในการผลิตเด็กคนหนึ่งอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาท
 เมื่อความเป็นมนุษย์ลดน้อยลง ธุรกิจค้ามนุษย์ ปั๊มเด็กในเชิงอุตสาหกรรมจึงเกิดขึ้นตามมา และทำให้เราได้เห็นความชั่วร้ายด้านมืดของมนุษย์ จากข้อมูล ขบวนการผลิตเด็กผ่านวิธีการ อุ้มบุญผลิตไปเพื่ออะไรกัน เพื่อเอาไปขายเป็นลูกบุญธรรม หรือเป็นการผลิตเพื่อต้องการนำอวัยวะมนุษย์ไปใช้ในการรักษา หรือ...? เชื่อได้อย่างหนึ่งว่า เด็กๆแต่ละชีวิตจะถูกนำไปสร้างรายได้มากกว่าคนละ 2 ล้านบาท แล้วความรักในสิ่งเล็กๆที่เรียกว่า “ชีวิต” นั้นอยู่ไหนหรือ …?

ชีวิตต้องเริ่มต้นด้วยรัก แล้วชีวิตนั้นจะต้องเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความรัก เงินทองเป็นสิ่งเอื้อหนุน ส่งเสริม หาใช่สิ่งที่จะมาสร้างชีวิตให้สมบูรณ์ อย่าเอาชีวิตไปฝากไว้กับการได้มาซึ่งเงินๆทองๆเลย เพราะนั่นมันเป็นการ “อุ้มบาป” ลงสู่หุบเหวแห่งความทุกข์ของมวลมนุษย์ของเรา “อุ้มบุญ” สร้างด้วยรัก “อุ้มบาป” มักมากับความโลภเสมอ….

ไม่มีความคิดเห็น: