ก็แค่มองเห็น
สังคมที่เต็มไปด้วยข่าวสาร
และเรื่องราวหลากหลายไหลร้นท่วมท้นจนไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ ทำให้คนยุคนี้กลายเป็นคนขาดภูมิ
ขาดความอดทน ขาดความรอบคอบ ชอบที่จะใช้ปากใช้มือไล่ล่าฟาดฟันด้วยตัวอักษร เบ่งใส่กันแบบไม่เห็นหน้า
สะใจอยู่บนคีย์บอร์ด ใช่หรือไม่ กับเรื่องบางเรื่อง ยังไม่ทันอ่านให้จบครบถ้วนขบวนความ
ยังไม่ทันวิเคราะห์ ก็วิจารณ์ได้เป็นฉากๆ หนักหน่อยก็กล่าวร้ายแบบหยาบคาย
ชอบคิดเอง เออเอง ที่เรียกแบบสมัยใหม่ชอบ “มโน” โดยไม่มี “ธรรม” ตามหลัง เราใช้ความสะใจ
ถูกใจ เป็นมาตรวัดคนอื่นไปแล้ว
ใช่หรือไม่
หลายครั้งในชีวิตเรามักตกหลุมพรางแห่งโลกมายา ที่กีดกั้นด้วยการหยามเหยียดผู้อื่น
เพียงแค่เห็นภายนอก แล้วก็ประเมินว่าไม่ควรคู่ที่จะพูดคุย ที่จะคบหา
แล้วใส่จริตว่าคนนั้นเลว คนนี้ดี คนนั้นโง่ คนนี้ฉลาด คนนี้จน คนนั้นรวย
โดยที่เรายังมิทันได้ดูภูมิหลัง เรียนรู้ความเป็นไปเป็นมาของคนๆนั้น
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
ด้วยค่านิยมของคนยุคใหม่
วัดค่าคนที่ราคาสิ่งของภายนอก และหมิ่นแคลนคนยากไร้ การกระทำของคนๆหนึ่งอาจจะมีเหตุปัจจัยมากกว่าสิ่งที่เรามองเห็น
คนๆหนึ่งเกิดมาย่อมมีเรื่องราวให้สืบเสาะหา คนๆหนึ่ง ชีวิตๆหนึ่งไม่มากก็น้อยย่อมมีแง่งาม
มากกว่าสิ่งที่เปิดเผยให้คนได้พบเห็น การที่เราจะวิพากษ์วิจารณ์ใครสักคน
ต้องพึงระมัดระวัง และเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะกระทำ ไม่ว่าคนๆนั้นจะยาก ดี มี จน
ก็เป็นคนของพระเหมือนๆกับเรา สิ่งที่ตาเห็นมิอาจจะสัมผัสถึงสัจจะได้
ใจนั้นต่างหากที่จะเข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต
คนเราวันนี้จึงไม่ต่างอะไรกับนักศึกษาส่วนใหญ่ในห้องเรียนแห่งนี้…..
ณ
ห้องเรียนแห่งหนึ่ง อาจารย์เปิดฉากการสอนด้วยการเล่าเรื่องๆหนึ่ง เรื่องนั้นมีอยู่ว่า
“เรือสำราญลำหนึ่งกำลังเจอมรสุมทางทะเลซัดกระหน่ำ ผู้คนบนเรือต่างหนีเอาตัวรอด บนเรือลำนี้ยังมีสามีภรรยาคู่หนึ่ง วิ่งกระเสือกกระสนมาถึงเรือชูชีพ แต่…บนเรือชูชีพนั้นมีที่ว่างเพียงที่เดียว ทันใดนั้น สามีก็ผลักภรรยาไปข้างหลัง ตัวเองกระโดดขึ้นไปบนเรือชูชีพ ภรรยายังคงยืนอยู่บนเรือสำราญที่ค่อยๆจมลง ขณะเดียวกันเธอก็ตะโกนมาที่สามีเธอ
ประโยคหนึ่งว่า....”
เล่าถึงตอนนี้
อาจารย์ก็หยุด แล้วถามนักศึกษาว่า “พวกเธอคิดว่า
ผู้หญิงคนนั้นจะตะโกนว่าอะไร”
พวกนักศึกษาต่างโกรธเกรี้ยวต่างพูดแทนผู้หญิงคนนั้นว่า
“ฉันเกลียดคุณ…
ฉันมันตาบอด ไม่น่าจะแต่งงานกับคนอย่างคุณเลย…ไอ้คนสารเลวเห็นแก่ตัว”
บ้างก็ว่า
“คุณมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย นี่หรือสิ่งที่คุณบอกว่าจะเสียสละเพื่อฉันได้ทุกสิ่งทุกอย่าง”
และเสียงก่นด่าว่าก็ดังก้องในห้องนั้น
เมื่อเป็นเช่นนั้นอาจารย์ก็บอกว่า
“พอได้แล้ว”
ณ
บัดดล อาจารย์สังเกตเห็นนักศึกษาคนหนึ่งไม่พูดไม่จาตลอดเวลา ก็เลยถาม คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะตะโกนออกมาว่าอย่างไร?
นักศึกษาคนนี้พูดว่า
“อาจารย์ หนูคิดว่าผู้หญิงคงจะตะโกนว่า….ดูแลลูกเราให้ดีดีนะ”
นักศึกษาคนนั้นสั่นหัว “ไม่เคยค่ะ แต่ตอนแม่หนูป่วยหนักก่อนตาย ได้พูดแบบนี้กับพ่อหนูค่ะ”
อาจารย์ซึ้งใจมากและพูดว่า
“นี่เป็นคำตอบถูกต้อง เรือจมลงไปแล้ว ผู้ชายคนนั้นกลับไปถึงบ้าน และเลี้ยงดูบุตรสาวตามลำพังจนโต หลายปีผ่านไป ผู้ชายคนนั้นก็ป่วยตาย วันหนึ่งลูกสาวก็เข้ามาจัดข้าวของของพ่อ จนได้พบไดอารี่ของพ่อ
และพบความจริงที่ว่า ในขณะที่พ่อกับแม่ไปเที่ยวเรือสำราญนั้น แม่ก็ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย บนเงื่อนไขในเวลาแห่งความเป็นความตายนั้น พ่อฉวยโอกาสเดียวที่จะรอดชีวิต
ในไดอารี่เขาเขียนไว้ว่า
“ฉันอยากจะจมลงใต้ทะเลพร้อมเธอ แต่ฉันทำไม่ได้ เพื่อลูกสาว ฉันจำต้องให้เธอนอนหลับยาวอยู่ใต้ทะเลลึก…. รอผมนะ สักวันหนึ่งเราจะพบกัน”
นิทานถูกเล่าต่อจนจบ
ห้องเรียนเงียบกริบ อาจารย์รู้ว่านักศึกษาต่างก็เข้าใจในนิทานเรื่องนี้กันเป็นอย่างดี..จึงสรุปว่า
“ความดีและความชั่วในโลกนี้บางครั้งดูสับสนไม่ชัดเจน
แยกแยะไม่ออก เพราะฉะนั้น
อย่าตัดสินคนอื่นแบบผิวเผิน คนที่ชอบแย่งจ่ายบิลก่อนไม่ใช่เพราะมีเงินมากไป แต่ให้ความสำคัญของมิตรภาพมากกว่าเงินทอง
เวลาทำงาน คนที่ยินดีทำมากกว่าคนอื่นไม่ใช่เขาโง่ แต่เขารู้หน้าที่ หลังจากทะเลาะกัน
คนที่ขอโทษก่อนไม่ใช่เขาผิด แต่เขารู้จักทะนุถนอมคนข้างกาย คนที่ยอมช่วยเหลือคุณ ไม่ใช่ติดค้างอะไรคุณ แต่เขาเห็นคุณเป็นเพื่อนแท้”
เลิกนิสัยในการเที่ยวไปตัดสินคนนั้นคนนี้
แล้วเริ่มหันมาพัฒนาตัวเอง ฟื้นฟูมโนธรรมให้เข้มแข็ง และใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่น
ไม่ใช่ใช้เพื่อตัดสินคนอื่น เหมือนเช่นนักบุญหลุยส์ที่เราร่วมเทิดเกียรติท่านในวันนี้
ในวันนั้น ท่านเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นเบอร์หนึ่งของฝรั่งเศส ชี้เป็นชี้ตายใครก็ได้
แต่ท่านนักบุญไม่เคยทำ กลับใช้เมตตาธรรมนำหน้า ช่วยเหลือผู้ที่ทุกข์ยากลำบาก แม้จะเป็นฝ่ายตรงข้ามในยามศึกสงคราม
เพราะท่านเคารพในคุณค่าของความเป็นคน เป็นลูกของพระเหมือนกัน แล้วเราในวันนี้ เรามีสิทธิ์อันใดหรือที่จะไปตัดสินคนอื่นโดยพลการ
โดยจริตคิดไปเอง ใช่หรือไม่ ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความดีอยู่ด้วยกันทุกคน
อย่าใช้เพียงการเห็นเปลือกนอก แล้วไปตีค่าราคาคน โดยไร้ความรู้แจ้ง เพราะสิ่งนี้ รังแต่จะสร้างสังคมให้กลายเป็น
สังคมอุดมด้วยความเกลียดชังและก้าวร้าว เราต้องสร้างสังคมอุดมด้วยรักและเมตตา
นี่คือ ภารกิจศิษย์พระเยซู
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น