วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ที่สุดแล้ว

ที่สุดแล้ว
กรุงโรม คือ ที่ที่เคยมาเยี่ยมชม 5-6 ครั้งแล้ว ในแต่ละครั้งก็มีความแตกต่างกันออกไป บางโอกาสได้มาแสวงบุญกับบริษัทนำเที่ยว ที่มักจะพาไปเยี่ยมชมมหาวิหารทั้งหลายที่อยู่รอบๆกรุงโรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 4 มหาวิหารที่สำคัญ คือ มหาวิหารนักบุญเปโตร (Basilica di San Pietro) มหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพง (Basilica di San Paolo fuori le mura) มหาวิหารนักบุญยอห์น ลาเตรัน (Arcibasild Pica di San Giovanni in Laterano) มหาวิหารแม่พระแห่งภูเขาหิมะ (Basilica di Sancta Maria Maggiore) เป็นสถานที่ที่ทุกคนไปโรมจะต้องได้ไปเยี่ยมชม แต่สำหรับครั้งนี้เป็นการเดินทางกันเอง จึงได้มีโอกาสไปเยี่ยมวิหารอีกหลายๆแห่ง ที่อยู่รายรอบกรุงโรม เรียกได้ว่าเดินไปทางไหนก็เจอวัด เจอวิหาร และแต่ละแห่งล้วนมีเอกลักษณ์และความงดงามไม่เหมือนกัน อย่างเช่น วิหารนักบุญอักเนส ที่บ้านนักบวชคณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ (สติ๊กมาร์ติน) ที่มีภาพเรื่องเล่าของท่านนักบุญที่งดงาม และเท่าที่ทราบตามคำบอกเล่าของ คุณพ่อ(มองซินญอร์)วิษณุ ธัญญอนันต์ (ผู้นำชม) สถานที่แห่งนี้นิยมใช้เพื่อประกอบพิธีแต่งงาน
อีกวิหารหนึ่งเป็นของคณะเยสุอิตที่มีความงดงามไม่แพ้กัน มีชื่อว่า วัดพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู (Chiesa del Santissimo Nome di Gesù all'Argentina) หรือ ภาษาอังกฤษว่า “Church of the Most Holy Name of Jesus” ด้านหน้าของโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมแบบบาโรกที่แท้จริงแห่งแรก แบบวัดแห่งนี้ใช้เป็นตัวอย่างในการก่อสร้างวัดของคณะเยสุอิตต่อมาอีกมากมายทั่วโลกโดยเฉพาะในทวีปอเมริกา วัดนี้ตั้งอยู่ที่จตุรัสเจซูในกรุงโรม


นักบุญอิกญาซิโอแห่งโลโยลาผู้ก่อตั้งคณะเยสุอิต เป็นผู้ริเริ่มความคิดในการก่อสร้างในปี ค.ศ. 1551 และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปศาสนาคาทอลิก วัดนี้เป็นสำนักงานกลางของมหาธิการคณะเยสุอิต ในขณะที่ไปถึงวัด กำลังมีพิธีบวชพระสงฆ์ใหม่ จึงทำให้มีผู้คนเป็นจำนวนมาก
และยังมีอีกหลายวิหารที่ได้ไปเยี่ยมชมได้สวดภาวนา อีกสถานที่ที่หนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ “สุสาน” เราไปเยี่ยมชมทำไม “สุสาน” หรือ “ป่าช้า” เมื่อถึงตรงนี้เราก็มักคิดถึงความตาย ซึ่งคนทั่วไปมักจะกลัวความตาย เพราะความตายไม่เพียงพรากเราไปจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารักและหวงแหนเท่านั้น ยังนำมาซึ่งความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างยิ่งยวด ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะหมดไป ความตายที่ไม่เจ็บปวดจึงเป็นยอดปรารถนาของทุกคนรองลงมาจากความปรารถนาที่จะเป็นอมตะ แต่ความจริงที่เที่ยงแท้แน่นอนก็คือ เราทุกคนต้องตาย             การได้มาเยี่ยมชมเหมือนเป็นการย้ำเตือนให้เราตระหนักถึงความตาย สุสานใหญ่ที่สุดในกรุงโรม คือ สุสานเวราโน่ กรุงโรม ประเทศอิตาลี คนดังๆแทบทุกคนจะฝังที่นี่ รวมทั้งนักบวชในคณะต่างๆสุสานนี้ตั้งอยู่ใกล้ๆกับมหาวิหารนักบุญลอเร็นโซ่ (ลอว์เร็นซ์) นอกกำแพงกรุงโรม

นอกจากสุสานที่นี่แล้ว ยังมีโอกาสเดินทางออกไปนอกกรุงโรม ไปยังเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า Sora ขับรถประมาณชั่วโมงกว่าๆจากกรุงโรม เป็นเมืองที่น่ารัก สวยงามและอากาศดีมากๆ อยู่ภายใต้อ้อมกอดของขุนเขา ที่เมืองแห่งนี้มีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมชมสุสานประจำเมือง เมื่อไปถึงทำให้ความคิดเรื่องความตาย ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป สถานที่แห่งนี้มีชีวิตชีวา มีดอกไม้จากผู้คนในเมือง ลูกหลาน ญาติมิตร ต่างแวะเวียนเอาดอกไม้มาผลัดเปลี่ยน มีการจัดสร้างอาคารเป็นหลังๆสำหรับบรรจุศพเป็นแถวเป็นแนว มีการจัดทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลา เป็นสถานที่ร่มรื่น มีโอกาสสวดให้บิดาของเพื่อนชาวอิตาเลี่ยนผู้มีน้ำใจดีที่พาไปเยี่ยมชมเมืองแห่งนี้ ที่ท่านเพิ่งชีวิตไปได้ไม่นาน น่าแปลกแค่ไหน เราอยู่กันคนละพ้นขอบฟ้า วันหนึ่งก็ได้มาพบกันในคำภาวนา แสดงถึงความเป็นพี่น้องกันในสายสัมพันธ์หนึ่งเดียวในองค์พระผู้เป็นเจ้า
และเช่นเคยเมื่อเดินอยู่ในสุสานแห่งนั้นก็รำพึงถึงวาระสุดท้ายปลายชีวิตของเราว่า จะเป็นเยี่ยงใดหนอ ??? ไม่มีใครรู้ มีแต่ทุกคนต้องพานพบ ใช่หรือไม่ เราทั้งหลายต่างก็รู้ว่าจะต้องตายไม่ช้าก็เร็ว แต่แทนที่จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้า แต่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะ ไปตายเอาดาบหน้า มากกว่า ความตายมาถึงเมื่อไร ค่อยว่ากันอีกที วันนี้ขอใช้ชีวิตสนุกๆหรือขอหาเงินก่อน ผลก็คือ เมื่อความตายมาปรากฏอยู่เบื้องหน้า จึงตื่นตระหนก ร่ำร้อง ทุรนทุราย ต่อรอง ผัดผ่อน ปฏิเสธผลักไส ไขว่คว้าขอความช่วยเหลือ ถึงที่สุดตอนนั้นก็ยากที่จะมีใครช่วยเหลือได้
จะว่าไปแล้วชีวิตนี้ทั้งชีวิตก็คือโอกาสสำหรับการเตรียมตัวครั้งสำคัญนี้ สิ่งที่เราทำมาตลอดชีวิตล้วนมีผลต่อการตายทั้งนั้น ไม่ว่าการคิด พูด หรือทำดีก็ตาม ชั่วก็ตาม การกระทำแม้เพียงเล็กน้อยไม่เคยสูญเปล่าหรือเป็นโมฆะ ที่สำคัญก็คือการตายมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีการแก้ตัว หากพลาดก็มีความทุกข์ทรมานเป็นผลพวงจนสิ้นลมหายใจ นี่แหละที่สุดของชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นสุสาน หรือ วิหาร ที่ได้เยี่ยมชม ต่างบอกเรา ชี้ให้เห็นว่า ที่สุดแล้ว ชีวิตก็ต้องจบลง มีเพียงร่างที่จะถูกนำมายังสุสาน แล้ววิหารที่แท้จริง คือ จิตวิญญาณของเรานั้นสวยงามเพียงพอไหม ในวันที่ยังมีลมหายใจ วิหารนี้ได้ถูกตบแต่งด้วยความดีงามมากน้อยแค่ไหน พร้อมเพียงใด ความตายเป็นสิ่งน่ากลัวสำหรับผู้ใช้ชีวิตอย่างลืมตาย แต่จะไม่น่ากลัวเลยสำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมมาอย่างดี ความตายนั้นมิใช่เป็นแค่ วิกฤตเท่านั้น แต่ยังเป็น โอกาส อีกด้วย เป็นโอกาสในทางจิตวิญญาณ ในขณะที่ร่างกายกำลังเสื่อมสลาย หากวางใจได้อย่างถูกต้อง ก็สามารถพบกับความสงบ มีผู้คนเป็นจำนวนมากได้สัมผัสกับความสุขและรู้สึกโปร่งเบาอย่างยิ่งเมื่อป่วยหนักในระยะสุดท้าย เพราะความตายมาเตือนให้เขาปล่อยวางสิ่งต่างๆ ที่เคยแบกยึดเอาไว้ ขณะที่อีกหลายคนเมื่อรู้ว่าเวลาเหลือน้อยแล้วก็หันมาให้อภัยกับทุกคนที่เคยล่วงเกิน ก่อนความตายมักเป็นเวลาสำคัญที่พระเจ้ามอบให้เป็นครั้งสุดท้าย และเมื่อความตายมาถึง มีคนจำนวนไม่น้อยที่จากไปอย่างสงบ และที่สุดวันนั้นของเราล่ะ จะไปแบบไหน เรารู้ เราเตรียมได้ แล้วเราจะยังไม่คิดทำอีกหรือ….

ไม่มีความคิดเห็น: