วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชีวิตจริงไม่มีอะไรแน่นอน

ชีวิตจริงไม่มีอะไรแน่นอน
ในโลกวันนี้ เราล้วนแล้วแต่จมปลักอยู่กับความเห็นแก่ตัว และชอบที่จะเข้าครอบครองพื้นที่ของคนอื่นอยู่ร่ำไป ในยุคข้อมูลข่าวสารที่เต็มไปด้วยการเบียดบัง เต็มไปด้วยข้ออ้าง อวดอ้าง แอบอ้าง และข่มขู่ผู้ด้อยกว่า มีการรับรู้เหตุการณ์ทั่วโลกได้อย่างทันใจเพียงลมหายใจเข้าออก เราก็ยิ่งถูกโถมทับด้วยอำนาจอยากได้ใคร่มี ทั้งๆที่ในบางเหตุการณ์นั้นได้เป็นการย้ำเตือนเราว่า แท้จริงแล้วชีวิตเราไม่มีอะไรแน่นอน มีแต่ต้องนอนถาวรแน่ๆไม่วันใดก็วันหนึ่ง วันนั้นต่างหากที่จะบอกว่าชีวิตเรา มีความจริง ความงาม ให้ปรากฏเห็นกับใคร  มากน้อยแค่ไหน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ความไม่แน่นอนในวิถีการดำเนินชีวิตนั้นเกิดได้เพียงชั่วพริบตา หากใครได้ติดตามข่าวของนักขับรถแข่ง F1 ผู้ครองแชมป์มาไม่รู้กี่สมัยต่อกี่สมัย จนชื่อของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก มิชาเอล ชูมัคเกอร์ หลังจากที่เริ่มอิ่มตัวกับความเร็วในสนามแข่งรถ และการครองความเป็นหนึ่งมาหลายสมัย เขาจึงใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น กำลังเริ่มต้นวิถีชีวิตแบบใหม่อย่างมีความสุข แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น แบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
อดีตยอดนักซิ่งวัย 45 ปี มีอาการโคม่า และนอนรับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองเกรอน็อบล์ ตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม ปีที่ผ่านมา หลังประสบอุบัติเหตุตอนเล่นสกีในรีสอร์ต เมอริเบล บนเทือกเขาแอลป์ส ทางฝั่งประเทศฝรั่งเศส จนศีรษะกระแทกเข้ากับก้อนหินอย่างจัง ซึ่งก่อนหน้านี้เแพทย์เคยมีแผนจะปลุกเขาจากอาการโคม่า แต่ก็ต้องยกเลิกไป หลังอาการของเขาทรุดลง ครอบครัวของตำนานแห่งศึกฟอร์มูลาวัน ( F1 ) เชื่อว่า ชูมัคเกอร์ จะต้องกลับมาลืมตาดูโลกอีกครั้ง หลังเริ่มแสดงสัญญาณตอบสนองบ้างเล็กน้อย ระหว่างนอนรักษาตัว จากอุบัติเหตุขณะเล่นสกี
ทั้งนี้ มิชาเอล ชูมัคเกอร์ ยังได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์ หลังผ่านการผ่าตัด 2 ครั้ง เพื่อนำเลือดที่คั่งในสมองออก และกำลังอยู่ในกระบวนการให้ฟื้นขึ้น ซึ่งจะต้องใช้เวลานานพอสมควร ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่า มิชาเอล ชูมัคเกอร์ จะเป็นเจ้าชายนิทรา หรือ หากลืมตาขึ้นก็จะอยู่ในภาวะทุพพลภาพ
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีการเปิดเผยว่า เจ้าของแชมป์โลก เอฟ วัน 7 สมัย กำลังดูมีอาการดีขึ้นเล็กๆ แล้ว ซึ่งนั่นส่งผลให้ครอบครัวของเขามั่นใจว่า ชูมัคเกอร์ จะเอาชนะความยากลำบากครั้งนี้ และลืมตาขึ้นมาดูโลกได้อีกครั้งอย่างแน่นอน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ครอบครัว ชูมัคเกอร์ กล่าวว่า เป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะยอมทำความเข้าใจได้ว่า มิชาเอล ซึ่งเคยเอาชนะสถานการณ์ที่อันตรายมาได้หลายครั้ง กลับได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากเหตุการณ์ธรรมดาๆ มันเห็นได้ชัดตั้งแต่แรกแล้วว่า นี่จะเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน และยากลำบากสำหรับ มิชาเอล และเราจะร่วมต่อสู้ในครั้งนี้ไปพร้อมๆ กับทีมแพทย์ที่เราเชื่อใจอย่างเต็มเปี่ยม
ชูมัคเกอร์ ได้เข้าร่วมการแข่งขันรถสูตรหนึ่งครั้งแรกในรายการเบลเยี่ยมกรังปรีซ์ ในปีค.ศ. 1991 ในฐานะนักแข่งตัวสำรองให้กับแบร์ทรอง กาโชต์ที่ถูกจำคุก ซึ่งชูมัคเกอร์ก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจด้วยการเข้ารอบคัดเลือกได้เป็นอันดับเจ็ด ต่อมาเขาก็ได้เข้าร่วมทีมเบเนตอง-ฟอร์ดในการแข่งขันครั้งต่อมา และได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันมากล้นในทันที ในปีถัดมา (ค.ศ. 1992) เขาก็ชนะการแข่งขันรถสูตรหนึ่งรายการแรกที่เบลเยี่ยมกรังปรีซ์ และได้อันดับที่สามในการจัดอันดับนักแข่งของรายการ
เขาสามารถเอาชนะการแข่งขันในสี่สนามแรกของฤดูกาลได้ และชนะการแข่งขันรวมทุกครั้งในเจ็ดครั้งแรก ในสองฤดูกาลแรกที่ชูมัคเกอร์ เข้าแข่ง เขาชนะการแข่งขัน 17 สนาม ได้ขึ้นโพเดี่ยม 21 ครั้ง ได้ตำแหน่งโพล 10 ครั้ง และในการแข่งขันทั้งหมด 31 ครั้ง มีเพียงครั้งเดียวที่เขาได้รับการคัดเลือกเพื่อออกสตาร์ทได้ต่ำกว่าอันดับที่ 4   นี่เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่ง ในสนามประลองความเร็วที่ต้องอาศัยสายตาให้ยอดเยี่ยม แต่ในวันนี้ในสนามชีวิตจริง เขากับต้องต่อสู้เพื่อให้สามารถลืมตามองดูโลกอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อได้อ่านข่าวนี้เมื่อปลายๆปีที่แล้ว และได้ติดตามข่าวอาการของเขามาอย่างต่อเนื่อง เพราะชื่นชอบในการขับรถแข่งของเขาเป็นการส่วนตัวมาอย่างยาวนานและด้วยความปรารถนาให้ ชูมัคเกอร์ ฟื้นกลับมาเป็นปกติ
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
มีสิ่งหนึ่งที่สะท้อนสะเทือนเป็นอย่างมากจากเรื่องของชูมัคเกอร์ นั่นคือ ความไม่แน่นอนของชีวิต ชีวิตนักเร่งความเร็วที่สามารถควบคุมเครื่องยนต์ บังคับพวงมาลัยอย่างยอดเยี่ยม มองเห็นเส้นทางและตัดสินใจในสนามได้อย่างเยือกเย็น กลับต้องมาล้มลง หัวกระแทกพื้นบนลานหิมะ โดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เอาเข้าจริงคนเราที่มักคิดว่าเราควบคุมบังคับโน่นนี่นั่นได้ แต่เราก็มิอาจจะควบคุมชีวิตให้อยู่ตลอดรอดฝั่งได้ สำหาอะไรกับการที่เรา เที่ยวไปควบคุมกำกับ บังคับ ผู้อื่นให้เป็นอย่างที่เราคิด แล้วคิดว่าเราสายตากว้างไกล เห็นโลกอย่างทะลุปรุโปร่ง มองขาดในทุกกรณี จึงยึดมั่น ในความเป็นตัวเองที่คิดว่าเก่งฉลาดเลิศล้ำอย่างสุดโต่ง แต่เอาเข้าจริงมีเพียงความไว้วางใจในพระเจ้า แล้วประพฤติปฏิบัติตนตามหนทางธรรมเท่านั้น ที่จะทำชีวิตของเราให้อยู่ในโลกอย่างมีความสุข เพราะแท้จริงแล้วชีวิตนี้ไม่ใช่ของเราเลย 

พระเยซูเจ้าเสด็จมาในโลกเพื่อพยายามเปิดตาเรา ให้มองเห็นความจริงในโลกนี้ วันนี้เราอย่าปล่อยให้โลกปิดตาเราให้มืดมัวด้วยความอยากได้ทุกสรรพสิ่งมาครอบครอง ใช่หรือไม่ ....บางครั้งที่เราก้าวย่างเดินไป เรามองไม่เห็นพระเจ้าเลย เพราะมัวเห็นแต่ตัวเราเท่านั้น... 

ไม่มีความคิดเห็น: