สุดท้ายที่รอคอย
วีซ่าไปยุโรป:
วันพุธรับเถ้าที่ผ่านมานับว่าเป็นวันแห่งการผจญอย่างยิ่ง เรามักจะถูกหลอกล่อในวันที่ต้องบำเพ็ญตบะเสมอๆ
มีนัดหมายที่ต้องไปทำวีซ่าเพื่อไปยังประเทศหนึ่งในยุโรปในช่วงปลายๆเดือนเมษายนนี้
พอจะทราบข่าวมาว่าประเทศนี้ค่อนข้างเคร่งครัดในเรื่องเอกสาร การเดินทางครั้งนี้คนร่วมทางไป
4 คน
จึงได้มีการนัดหมายตรวจเช็คเอกสารให้พร้อมเพรียง การไปขอวีซ่าด้วยกันจึงเกิดขึ้นในวันพุธรับเถ้าอย่างพอดิบพอดี
พวกเราไปถึงเวลา 8.30 น. ได้รับบัตรคิวที่ 537 มีคนก่อนหน้าเรา 34 คิว ในแต่ละคิวใช้เวลามากพอสมควร
คาดคะเนว่าต้องรอถึงใกล้ๆเที่ยง ถึงจะได้ยื่นเอกสาร เมื่อถึงเวลาใกล้เที่ยงเพิ่งถึงคิวที่
535 หยุดพักเที่ยงหนึ่งชั่วโมง สรุปแล้วภาคเช้าทั้งภาคคือการนั่งรอเสียงเรียกหมายเลขและนั่งลุ้นว่าจะถึงหมายเลขของพวกเราหรือยัง
เมื่อความหวังต้องหยุดพัก ความหวังใหม่ในภาคบ่ายของพวกเรา คือ กลุ่มแรกๆ ที่จะได้ยื่นเอกสารหลักฐานการขอวีซ่า
ภาคบ่ายเปิด เสียงเรียกเลขคิวของเราเหมือนดังเสียงสวรรค์
กลุ่มเรายื่นเอกสารพร้อมๆกัน เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจดูคร่าวๆก็ให้เซ็นชื่อกำกับเอกสาร
จากนั้นก็ให้เรากลับมานั่งรอ รออย่างไม่มีเป้าหมายเพราะเลขคิวเราผ่านไปแล้ว
รอเรียกชื่ออย่างเดียว ไม่นานเจ้าหน้าที่คนเดิมเรียกกลุ่มเรา
แอบดีใจใกล้เสร็จแล้วกระมัง แต่... เจ้าหน้าที่บอกเอกสารไม่ครบ
ไม่มีตั๋วเครื่องบิน ก็ชี้ให้ดูเพราะเราซื้อไว้เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ทำหน้างงๆ
แล้วให้พวกเรากลับมานั่งรอต่อไป ผ่านไปเกือบๆชั่วโมง ขั้นตอนอันอึดอัดก็เสร็จเอกสารครบสมบูรณ์
จ่ายเงินนัดวันรับวีซ่า แต่...ยังไม่เสร็จ ทุกคนต้องไปเข้าคิวรอปั้มลายนิ้วมือทั้งสิบนิ้ว
ทีละคน เดินมารอตรงเข้าคิวเห็นคนรอเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ไปกับกลุ่มทัวร์ ด้วยความสงสัยเลยสืบถาม
คำตอบคือ ใครที่จะเดินทางไปในเครือยุโรปต้องมาพิมพ์ลายนิ้วทุกคน เพิ่งเริ่มใช้ระบบนี้เมื่อสองเดือนที่แล้ว
ระบบยังไม่เข้าที่เข้าทาง มีอาการขัดข้อง บางคนต้องกลับมาพิมพ์ใหม่ในวันถัดๆไป
จึงทำให้มีการรอคอยกันเยอะ
และเช่นเคยในการพิมพ์ลายนิ้วมือไม่มีหมายเลขคิว
รอเจ้าหน้าที่เรียกชื่อ เห็นห้องพิมพ์ลายนิ้วมือมีหลายๆห้อง ใจก็ชื้นขึ้นมาหน่อย
แต่ที่ไหนได้ มีเพียงสองห้องที่มีเจ้าหน้าที่ทำงาน
ห้องแรกเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยว พวกเรานั่งรออย่างไร้ความหวัง
ไม่รู้จะได้ยินชื่อตอนกี่โมง และที่สำคัญเย็นวันนั้นมีนัดหมายที่สำคัญเสียด้วย
จากอาการอดทนรออย่างมีความหวังเมื่อเช้า มาบ่ายนี้รออย่างไร้หวัง
คนหนึ่งในพวกเราบอกว่า ให้ไว้ใจในพระ แต่ก็ไม่ทำให้อาการหงุดหงิดหยุดลงได้
รอลุ้นแล้วลุ้นอีก สามโมงเย็นชื่อแรกในกลุ่มของเราก็ถูกเรียกดังขึ้น สวรรค์โปรด!!! กลุ่มเราใช้เวลาเพียงไม่ถึงสิบนาที
ทั้งสี่ก็พิมพ์ลายนิ้วมือเรียบร้อย เราหมดเวลาไปกับการรอคอยเกือบทั้งวัน จนถึงนาทีนั้นเรารู้สึกโล่ง
แล้วต่างแยกย้ายกลับมาทำภารกิจ มาเข้าวัดรับเถ้า
เครื่องบินสูญหาย: จากเหตุการณ์ส่วนตัวที่นำมาเล่าสู่กันฟังนี้ มีอะไรบางอย่างให้ย้อนคิดก็ตอนเมื่อเราได้ทราบข่าว
เครื่องบินของสายการบิน มาเลเซียแอร์ไลน์ส
(MH370) ซึ่งนำผู้โดยสารและลูกเรือรวม 239 ชีวิต เดินทางจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปยังกรุงปักกิ่ง “สูญหาย” ขณะบินอยู่เหนือทะเลจีนใต้
ทั้งเวียดนาม มาเลเซีย
ตลอดจนฟิลิปปินส์ และจีน ต่างส่งทีมออกค้นหาเครื่องบินหลังจากเครื่องบินได้ขาดการติดต่อไป
ประมาณ 2 ชั่วโมงหลังออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติกรุงกัวลาลัมเปอร์
โดยเครื่องบินลำนี้มีกำหนดจะต้องเดินทางถึงกรุงปักกิ่งในเวลา 6.30 น. (5.30 น. ตามเวลาในไทย)
ทว่าจนบัดนี้ผ่านมานานกว่า 12 ชั่วโมงก็ยังไม่สามารถระบุพิกัดของเครื่องบินได้
จนกระทั่งวันนี้เวลาผ่านมา 5 วัน (วันที่เขียนวันพุธ)
ก็ยังไม่มีร่องรอยอะไรให้เห็นว่าเครื่องบินประสบอุบัติเหตุหรือไปตกที่ไหน อย่างไร?
คนที่เป็นญาติพี่น้อง ต่างรอคอยข่าวด้วยความเศร้าโศก ยิ่งไม่พบชิ้นส่วนอะไรเลย
ยิ่งไม่มีสัญญาณอะไร ยิ่งทำให้การรอคอยนั้นน่าอึดอัด ยิ่งเป็นการรอคอยความเป็นความตายของชีวิตคนอันเป็นที่รักด้วยแล้ว
เป็นเรื่องที่เศร้าใจเป็นยิ่งนัก การรอคอยทำวีซ่าของเราทั้งวันนั้นมันเปรียบไม่ได้เลยกับการรอคอยข่าวของบุคคลอันเป็นที่รัก
ยิ่งมีการตั้งสมมติฐานการหายไปของเครื่องบินลำนี้มากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เกิดความทุกข์ในหมู่ผู้รอคอยมากขึ้นเท่านั้น
ยิ่งเห็นมีการปลอมเอกสารในการเดินทาง เรายิ่งต้องขอบคุณเวลาที่เสียไปในการเคร่งครัดของการตรวจเอกสารเพื่อขอวีซ่าในวันนั้น
อย่างน้อยๆก็เป็นหลักประกันความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง และที่สุด การค้นหาจากนานาชาติที่ออกมาช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่
ทำให้เกิดความหวังมากยิ่งขึ้น แล้วที่สุดของที่สุด...ความหวังของมวลมนุษยชาติก็ฝากไว้กับพระเจ้า
และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงในสากลโลก โดยอาศัยคำอธิษฐาน การสวดภาวนา
ที่พร้อมใจกันสวดทั่วโลก
มหาพรต: ในชีวิตของเรายังมีการรอคอยในหลายต่อหลายครั้ง
การรอคอยทำให้เกิดความหวัง บางครั้งเราก็หวังโดยไม่ได้คาดหวัง ช่วงเวลามหาพรต คือ ช่วงเวลาแห่งการรอคอย แต่เป็นการรอคอยอย่างมีความหวัง
เพราะเรารู้ว่าองค์พระเยซูเจ้านั้นทำให้ทุกข์แห่งการรอคอยกลายเป็นความชื่นชมยินดี แล้วเมื่อเรารู้ว่าปลายทางการรอคอยของเรานั้นมีความชื่นชมยินดี
เราจะไม่แบ่งปันความชื่นชมยินดี ไม่แบ่งปันสุข ให้ผู้อื่นบ้างหรือ
วันนี้เราจงมาร่วมกันสวดภาวนาเพื่อผู้เป็นทุกข์จากการรอคอยทั้งหลายทั้งปวง
โดยเฉพาะผู้รอคอยจากเหตุการณ์เครื่องบิน “สูญหาย”
ได้ประสบกับความสมหวังโดยเร็วที่สุด...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น