วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2557

ในวันที่ต้องตบตีตัวเอง

ในวันที่ต้องตบตีตัวเอง
ช่วงนี้บ้านใครไม่มียุงกวนถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐ ทำไมช่วงนี้ยุงเยอะเหลือเกินก็ไม่รู้ มันเยอะจนขนาดบินชนกันเอง แล้วตกลงมาตายบนพื้นต่อหน้าต่อตา นี่เป็นคำบ่นที่ไม่ว่าจะคุยกับใคร คุยเรื่องอะไร ก็มักจะต้องมีเรื่องยุงที่ยุ่งๆแถมรวมอยู่ด้วยเสมอ ยุงกัด ยุงชุม(นุม)กลายเป็นปัญหาระดับชาติ จะอยู่บ้านหรือไปไหนก็ต้องเจอ !!!
วันนี้ดูเหมือนว่าเรากำลังถูกรุกล้ำสิทธิด้วยกองกำลังที่ทราบฝ่าย แต่มองไม่ค่อยเห็นตัว เพราะมันเป็นสิ่งเล็กๆที่กัดเจ็บและน่ารำคาญ รบกวนสมาธิ เรากำลังถูกรุกรานไปทุกๆที่ นอกบ้าน ในบ้าน ในรถ ในห้องนอน ยิ่งเฉพาะเวลานอน กำลังเคลิ้มจะหลับมิหลับแหล่ เสียงดังวุ้งๆวิงๆที่ข้างๆหูนั่นหน่ะ คือสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดในชีวิต ในความมืดเราก็ได้แต่ใช้จินตนาการ  ค่อยๆยกมือขึ้น กะว่ามันยังคงอยู่บริเวณรูหูเป็นแน่แท้ ฝ่ามืออรหันต์ต้องพิฆาตผู้รุกล้ำให้ได้ ในอาการกึ่งหลับกึ่งตื่นซัดไปเต็มแรงเอาที่บ้องหูตัวเอง และก็บี้ๆขยี้หู ผลลัพธ์คือไม่มียุงสักตัว มันหายไปไหนหรือว่ามันเป็นผียุง เหลือไว้ที่อาการเจ็บหูจากแรงตบใส่ตัวเอง
ตามหลักการแล้ว มนุษย์ดึงดูดยุงให้เข้ามาหาจากคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากลมหายใจ กลิ่นเหงื่อ กลิ่นตัวและความร้อนจากร่างกาย คนเราไม่สามารถกำจัดยุง ให้หมดไปจากโลกนี้ได้ และคนบางคนก็มีสารเคมีในร่างกายไม่เหมือนกัน ทำให้สูตรการไล่ยุงสูตรหนึ่ง อาจใช้ไม่ได้ผลกับทุกคน เราก็ได้แต่หาวิธีให้เหมาะสมกับตัวเองต่อไป
ที่สุด ในตอนกลางวันจึงพยายามเจรจากับยุงเพื่อขอคืนพื้นที่ ด้วยการไปซื้อยามาฉีด แต่ก็ยังไม่สำเร็จผล กลางคืนก็ถูกลอบกัดอีกจนได้ เมื่อไล่ไม่ได้ผลก็ต้องใช้อาวุธหนักมาฟาดฟัน ไม้เทนนิสไฟฟ้า พร้อมรบด้วยการชาร์ทแบ็ตเตอรี่ให้เต็มที่ แล้วก็ฟาดฟันหมู่ยุงอย่างบ้าคลั่ง มียุงบางตัว คงได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดีบินใกล้เข้ามาในระยะประชิด ไม้เทนนิสพร้อมกดปุ่มไฟฟ้า ซัดเข้าไป ผลคือล่วงหล่นพร้อมเสียงร้อง แต่ไม่ใช่ของยุงนะ เป็นเสียงคนตีและที่หล่น คือ ไม้เทนนิสไฟฟ้า เพราะดันช็อตเข้าที่ผิวหนังตัวเอง แม่เจ้าให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัวจริงๆ
ในขณะที่สู้รบตบมืออยู่กับยุงนั้น จำนวนยุงไม่ได้ลดน้อยหายไปเลย (กรมควบคุมโรค เผยยุงที่ชุกชุมในขณะนี้ เกิดมาจากช่วงรอยต่อของฤดูหนาวและฤดูร้อน เป็นยุงรำคาญ มาตามท่อระบายน้ำ เป็นพาหะของโรคไข้สมองอักเสบ แนะทายากันยุง) ทำไปทำไมเราก็ต้องตบตีใส่ตัวเองไปหลายครั้งหลายหน ในชีวิตจริงของคนเรา ก็มีไม่น้อย ที่เราคอยที่จะปกป้องตัวเอง แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำลายความเป็นคนของตัวเองลง ใช่หรือไม่ ในบางครั้งเราปกป้องตัวเองจากความจริงที่เราได้กระทำ แล้วไม่กล้ายอมน้อมรับ เมื่อมีคนอื่นมาชี้แจงตักเตือน เรากลับแค้นเคืองหาว่ามาหาเรื่อง จากนั้น เราก็แสดงความโกรธเกลียดใส่ผู้หวังดีไป เมื่อเราอยู่ลำพัง เงียบๆ มโนธรรมได้ย้อนกลับมากัดกร่อน ย้อนย้ำให้สำนึกผิด ทำให้จิตใจเราเริ่มว้าวุ่น พยายามหลบหลีกหนีหน้าจากความผิด แต่ก็ไม่อาจจะหลบพ้นจากห้วงมโนสำนึกไปได้ เหมือนกับที่เรารู้ว่ามียุงบินอยู่รอบๆตัวเรา แต่จะมีสักกี่ครั้งที่เราเห็นตัวเป็นๆและกำจัดมันได้ สิ่งเหล่านี้ได้โบยตีเรา ทำให้เกิดความทุกข์ระทม จวบจนเมื่อเราหาทางเผชิญกับความจริงได้ แอกนี้ก็ถูกปลดออก ส่วนใครทำไม่ได้หรือไม่ยอมทำตามมโนสำนึก ไม่รับฟัง ความชอกช้ำก็จะเกิดขึ้นตลอดไป จนไม่สามารถพบกับความสุข ความจริงก็จะโบยตีชีวิต จิตใจไปทุกๆวัน อย่างเจ็บแสบ
            ในอีกด้านหนึ่ง ความดีของการโบยตีตัวเรานั้น มันมาจากความรักและการเสียสละเพื่อคนที่เรารัก เพื่อผู้อื่น พ่อแม่หลายคนยอมทนยอมเจ็บปวด เพื่อให้ลูกๆของตนก้าวสู่หนทางแห่งชีวิตด้วยความสง่างาม มีจำนวนไม่น้อยที่ยอมกล้ำกลืนฝืนทน อดมื้อกินมื้อเพื่อนำเงินที่ได้จากความเจ็บปวดนั้นส่งให้ลูกๆได้รับการศึกษา หรือมีบ้างบางคนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้คนที่ตัวรักได้สุขสบายขึ้น หรือแม้กระทั่งคนที่เป็นหัวหน้า เป็นเจ้านาย ที่ยอมรับความเสี่ยงของการลงทุนไว้กับตน โดยมิได้บอกกล่าวลูกน้องลูกจ้าง ในวันที่สถานการณ์ย่ำแย่ก็ไม่ได้ปิดห้างร้าน ปล่อยลอยแพ ยอมควักเนื้อ ยอมขาดทุนกำไร เพราะรู้ว่ายังมีอีกหลายชีวิตที่ตั้งความหวังไว้กับตน นี่เป็นความงามของการโบยตีตัวเองเพื่อผู้อื่น
            ทุกอย่างในโลกนี้มีหลากหลายมิติ เหตุการณ์หนึ่งเราไล่ตบไล่ฆ่ายุง เพื่อให้มันหมดๆไปจากบ้าน จากที่เราอาศัย แต่ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งซึ่งได้ผลเหมือนกัน คือการไล่มันออกไปโดยไม่ต้องถึงกับฆ่ากัน หาทางกำจัดวงจร ใช้ยาทากัน ใช้สมุนไพรที่มีกลิ่นที่ยุงไม่ชอบ ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ที่จะทำให้ยุงหมดไปได้ เช่นเดียวกัน ในการดำเนินชีวิต การโบยตีตัวเราเพื่อผู้อื่นย่อมดีกว่าการเจ็บตัวเพราะการกระทำของเราเอง

           
แล้วในวันนี้ เราพร้อมหรือยังที่ต้องยอมเจ็บเพื่อผู้อื่นบ้าง อย่าเพียงแค่ยืนตะโกนเรียกร้องให้ผู้อื่นกระทำ เราเริ่มต้นกระทำด้วยตัวเราเอง เสียสละรอยยิ้มทักทายให้โลกงดงาม เสียสละเวลาเพื่อคนใกล้ๆตัว ให้กับครอบครัว ลดการอยู่กับเครื่องมาอยู่กับคน ลดเวลางานมาให้เวลาบ้านบ้าง มอบน้ำใจและมีเมตตาต่อกัน แทนที่จะให้เลือดกับยุงเราก็ออกไปบริจาคโลหิตให้กับสภากาชาด หยุดการรุกรานรุกล้ำสิทธิส่วนตัวผู้อื่น ที่สุดแล้ว สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงชีวิตเรา คือ ยอมเจ็บปวดด้วยการให้อภัย แม้จะแสนเจ็บปวด แต่มันเป็นความเจ็บปวดเพียงเบื้องต้น ผลสำเร็จของมันนั้นคือความสุขที่แสนจะยาวนานและอิ่มเอม อย่าเพียงแต่บ่นว่า สังคมเราโหดร้ายลงทุกวัน แล้วทำไมเราไม่ช่วยกันคนละไม้ละมือ ทำให้โลกงดงามขึ้นมาบ้างเล่า ...

ไม่มีความคิดเห็น: