หยุดทำร้ายความเดียงสา
...เกิดสงครามพันครั้ง
เด็กก็ยังสวยงาม
เป็นเพียงแค่สงคราม
ความเดียงสาเท่าเดิม...
(บางส่วนในเพลง
“กล้วยไข่” วงเฉลียง)
ท่อนนำเพลงนี้ดังขึ้นจากลิ้นชักความทรงจำ
อันเนื่องมาจากการได้เห็นข่าวของเด็กๆที่ต้องมาร่วงหล่นท่ามกลางความต่างทางอุดมการณ์
ที่ถูกยกมาแอบอ้างอิงพิงเป็นอุดมการณ์อันสูงส่ง และเพื่อรักษาฐานที่มั่นไว้
ฝ่ายที่คิดต่างเห็นต่างจะต้องมีอันเป็นไป โดยไม่สนใจว่าใครจะได้รับเคราะห์
เพราะเหมารวมว่าใครอยู่ที่ตรงนั้นมันคือฝ่ายตรงข้าม สมควรต้องตาย.... แล้วไง
!!!
ความสูญเสียเศร้าโศกก็บังเกิดขึ้นสุดบรรยาย
เวลาที่เห็นเหตุการณ์ลักษณะนี้แล้ว
อยากจะปิดการรับรู้ข่าวสารทั้งหมดทั้งสิ้น อยากจะกดปุ่ม Undo ย้อนกลับไปในวันที่ประเทศชาติเรามีแต่ความสงบสันติสุข
แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ยิ่งนับวันคนเราต่างก็ยึดติดความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้ง
แล้วทุกคนก็ต้องเห็นด้วยแบบนี้เพียงเท่านั้น
ดูเหมือนโลกกว้างขึ้นให้รับรู้เรื่องราวได้มากมาย รวดเร็ว
แต่จิตใจกลับคับแคบเลือกรับเฉพาะสิ่งที่เราเชื่อ แล้วก็ตัดสินคนแบบรวดเร็ว ใจเร็ว
เมื่อเราคิด เห็น ชอบ แบบนี้แล้ว ก็ไม่สนใจใยดีใดๆทั้งสิ้น ถึงขั้นว่า
สาแก่ใจที่ฝ่ายคิดต่างได้รับการทำร้ายชีวิต จิตใจเราเป็นอะไรกันไปแล้วหรือ
คนไทย....
แต่ใช่ว่า...เหตุการณ์ลักษณะนี้มิเคยเกิดมาก่อนในโลกใบนี้
มันมีมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เด็ก ผู้หญิง คนชรา
มักเป็นเหยื่อแห่งความต่างของสังคมโลกนี้เสมอๆ เราก็รู้
สงครามที่ไหนๆมันไร้เหตุผลทั้งนั้น โดยเฉพาะสงครามเอาเด็กเข้าไปเกี่ยวข้อง
เพราะเด็กไร้เดียงสา พวกเขาบริสุทธิ์และกลายเป็นเหยื่อแห่งความขี้ขลาดของคนสิ้นคิด
ที่มีจริตความเกลียดกลัวเข้าครอบงำ เด็กๆจำนวนไม่น้อยต้องกลายเป็นคนไร้ราก
แต่เราก็ยังปล่อยให้บทเรียนที่แสนเจ็บปวดนี้เกิดขึ้นอีกจนได้
ใช่หรือไม่....สงครามเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
คนที่ต้องออกหน้าไปสู้รบนั้น
บางครั้งมันเจ็บปวดกับคำสั่งฆ่าของผู้อยู่ข้างบนผู้สั่งการ
ยังไงเสียการมีจิตใจแห่งเมตตายังอยู่ในหัวใจทุกคน ปลุกให้มันตื่น
เพื่อความเดียงสาของเด็กๆจะคงอยู่ต่อไปนิรันดร์
ในช่วงปี ค.ศ.1948 เป็นช่วงที่ใครอยู่ในประเทศเยอรมัน
ดูเหมือนจะโชคร้ายกว่าใครๆในโลก หลังจากที่ประเทศถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วน
ท่ามกลางผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศรัสเซียเอง
ก็ตัดสินใจที่จะตัดช่องทางการคมนาคมทางรถไฟที่ตรงไปยังกรุงเบอร์ลินทั้งหมด
ด้วยความหวังว่าจะเกิดการขาดแคลนอาหารในกรุงเบอร์ลิน
ในตอนนั้นเอง
ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตรอื่นๆ ก็พบว่า
พวกเขาสามารถใช้เครื่องบินช่วยขนส่งอาหารได้
จึงได้มีการเริ่มปฏิบัติการที่เรียกว่า “The Berlin Airlift” ซึ่งเครื่องบินรบ
แทนที่จะปล่อยลูกระเบิด ก็ทำการปล่อยอาหารลงไปยังกรุงเบอร์ลินแทน ถึงตอนนี้
คนในเบอร์ลินก็รอดจากการอดตายแล้ว แต่ยังมีของเล็กๆ น้อยๆ ที่ขาดไป นั่นคือ
ขนมหวานสำหรับเด็กๆ
Gail Halvorsen นักบินจากรัฐยูทาห์
รู้สึกสะเทือนใจกับภาพของเด็กๆ ในกรุงเบอร์ลินที่ไม่มีขนมหวานไว้กิน
เขาจึงยกหมากฝรั่งให้เด็กเหล่านั้นพร้อมกันสัญญาว่า เขาจะกลับมาวันพรุ่งนี้
พร้อมกับขนมอีกจำนวนมากมาย หลังจากนั้น Halvorsen ได้ทำการปล่อยช็อคโกแล็ตลงมากับร่มชูชีพอันเล็กๆ
ลงมาให้เด็กๆ
นอกจากนั้น
เขายังขยับปีกเครื่องบินไปมาเพื่อเป็นสัญญาณให้เด็กๆ
จำเครื่องบินของเขาได้และเตรียมพร้อมรับฝนช็อคโกแล็ต ทำให้เขาได้รับฉายา “คุณลุงขยับปืก” (Uncle Wiggly Wings) ไปด้วย
อย่างไรก็ตาม การกระทำแบบนี้ของ Halvorsen ถือว่าผิดกฎ
และเขาก็ถูกบังคับให้เลิกทำเสีย
จนกระทั่งเจ้านายของเขาได้รู้ว่าชาวเยอรมันชอบพวกอเมริกามากขึ้นแค่ไหนจากเหตุการณ์นี้
จึงได้มีการจัดตั้งกลุ่มกองกำลังเครื่องบินที่มีหน้าที่ส่งของหวานจำนวนมากไปให้แก่เด็กๆ
และถึงแม้ว่าปฏิบัติการนี้จะจบลงในปี
ค.ศ.1949 หลังจากที่สหภาพโซเวียตยอมแพ้ เด็กๆ
ชาวกรุงเบอร์ลินก็ไม่เคยลืมเรื่องของคุณลุงขยับปีก และชื่อของ Gail
Halvorsen ก็ยังเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศเยอรมันในฐานะชายที่ให้ขนมแก่เด็กๆ
ถึงขนาดมีโรงเรียนบางแห่งตั้งชื่อขึ้นตามชื่อของเขาด้วยซ้ำ
ในหัวใจของเราทุกคนล้วนแต่รักเด็กๆ
คงมีแต่คนใจปีศาจเท่านั้นที่เห็นเด็กเป็นเครื่องมือเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม
ที่คิดเองเออเอง ทหารที่เข่นฆ่ากันในสนามรบ
เขายังมีจิตใจอ่อนโยนลงเมื่อเห็นหน้าเด็กๆ เราคงไม่อยากเห็นเด็ก
เห็นคนบริสุทธิ์ต้องมาจบชีวิตด้วยการยึดแย่งชิงอำนาจ แย่งชิงความเป็นใหญ่ฝ่ายตน
ใช่หรือไม่
ความเดียงสาของเด็กสร้างโลกให้สดใสมากกว่าจิตใจมักใหญ่ฝ่ายสูงของผู้ใหญ่เสียอีก
หยุดเถอะให้เด็กได้สร้างโลกต่อไป หยุดความรุนแรง หยุดใช้ความตายเพื่อแลกกับชัยชนะ
หันมามองหน้าเด็ก แล้วให้ความเดียงสานั้นโบยตีจิตใจอันแข็งกระด้างของเรา
สมเด็จพระสันตะปาปา
ฟรังซิส ตรัสสอนว่า
“จำไว้นะว่า
สงคราม ความเกลียดชัง
และความเป็นศัตรูกันไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่เราจะหาซื้อได้ตามท้องตลาด
แต่มันอยู่ในใจของเราทุกคน จิตแห่งสงครามจะนำเราถอยห่างจากพระเจ้า
สิ่งนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มันมาจากจิตใจของเรา
ขอให้เราคิดและตระหนักถึงความเศร้าโศกที่เกิดจากสงครามและแผ่เข้ามาในครอบครัวของเรา
สิ่งที่คริสตชนควรทำในทุกๆวันก็คือ เมื่อเราอ่านข่าวคนตายจากสงคราม
เราควรคร่ำครวญและเป็นทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้น” (Pope
Report)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น