ใช้ทุกข์สร้างทางทาน
เห็นความทุกข์ของชาวนาทั่วประเทศ ที่ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมในเรื่องจำนำข้าวแล้ว
รู้สึกสงสารจับใจ เขาปลูกข้าวให้เรากิน แต่...พวกเขากลับไม่มีอะไรจะกินและไม่ว่าทุกข์ของชาวนานั้นจะเกิดจากระบบทุนนิยมที่เอาประโยชน์จากพวกเขา
โดยไม่ต้องลงทุนลงแรงทำหรือเกิดจากความโลภมากของคนบางกลุ่ม
เราต้องมีสำนึกร่วมกันว่าถ้าไม่มีชาวนาเราก็ไม่มีข้าวจะกิน ด้วยความหวังว่า คงอีกไม่นานจากนี้
ความทุกข์ของพวกเขาควรได้รับการเยียวยา เพื่อว่าเราจะได้พึ่งพาอาศัยผลงานจากหยาดเหงื่อของพวกเขาเลี้ยงชีพให้พวกเราต่อไป
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
นอกจากความทุกข์ของชาวนาที่มองเห็นแล้ว
เราแต่ละคนต่างก็มีความทุกข์เป็นของตัวเองทั้งนั้น
สุดแล้วแต่ว่าเราจะบริหารความทุกข์นั้นอย่างไร จะว่าไปแล้ว ความทุกข์ของบางคน นำมาซึ่งแรงบันดาลใจ
ก่อให้เกิดสิ่งใหม่
มีไม่น้อยคนที่ใช้ความทุกข์ของตนสร้างความสุขให้กับผู้อื่นอีกเป็นจำนวนมาก
ยิ่งหากเรามัวแต่จมอยู่ในกองทุกข์ก็ยิ่งเพิ่มทุกข์มวลรวมให้เกิดขึ้นกับสังคม
แต่...ในสังคมยุคใหม่ที่ต่างคนต่างทุกข์ไม่ค่อยที่จะสนใจกันและกัน
ความคิดสร้างสรรค์ และการเสริมสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวมนั้นห่างไปหมด มีแต่ทำทุกอย่างเพียงหวังความสุขส่วนตัวเอามาใส่ตัว
กลัวความสุขปลอมๆของตัวจะหลุดลอย เลยต้องเหนี่ยวรั้งไว้อย่างสุดกำลัง
ใช้พลังทั้งหมดโอบกอดสุขนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว เราจึงรู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนมากมาย
เราจึงเหมือนคนบ้าที่ก้มหน้าก้มตา พูดคุย นั่งจิ้มเครื่อง แล้วก็ยิ้มไปยิ้มมาอยู่คนเดียว
ท่ามกลางคนแปลกหน้า ที่ผ่านไปผ่านมา เหมือนเป็นวิญญาณ สายลม ไม่เคยอยู่ในสายตา
ใช่หรือไม่ เราต่างล้วนหลอกตัวเองว่ามีความสุข แต่ลึกๆแล้วเรานั้นทุกข์แสนทุกข์
คนสมัยหนึ่งทุกข์เพราะเรื่องขาดแคลนปัจจัยต่อการดำรงชีวิต
จึงคิดค้นเพื่อนำพาให้ชีวิตอยู่รอดปลอดภัย แต่คนสมัยนี้ทุกข์เพราะอยากมี จึงหาทางดิ้นรนไขว่คว้า
นำพาชีวิตไปสู่ความทุกข์ยิ่งขึ้น แต่ไม่ว่าวันนี้วันโน้นวันไหน
หากเรารู้จักที่จะถากถางทางทุกข์ ให้เป็นถนนที่น่าเดิน
ชีวิตเราย่อมเกิดมามีค่าเสมอ
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
ดาสราฐ แมนจิ
เกิดมาในครอบครัวคนงานที่ยากจนในหมู่บ้านกัลลอร์ ใกล้อำเภอคยา ในแคว้นมคธ
ประเทศอินเดีย เขามีภรรยาชื่อ ฟังกานี เดวี ทั้งคู่อยู่กันมานานจนกระทั่ง วันหนึ่งเดวีได้เสียชีวิตลง
เพราะขาดหมอ และการรักษา เนื่องจากเมืองที่ใกล้หมู่บ้านที่สุด อยู่ห่างไป 70
กิโลเมตร ( 43
ไมล์ ) ทำให้หมอมาไม่ทัน
ด้วยเหตุผลนี้ “ดาสราฐ” จึงมีความต้องการที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อไม่ให้คนอื่นๆ
ในหมู่บ้านต้องประสบกับเรื่องเศร้าใจเช่นเดียวกับที่เขาเจอ จึงเริ่มขุดเจาะภูเขาที่บดบังหมู่บ้านกับความเจริญข้างนอก
ภูเขานั้นมีความยาว 360
ฟุต ( 110 เมตร ) , ความลึก 25 ฟุต (7.6 เมตร ) และความกว้าง 30 ฟุต ( 9.1 เมตร )
เพื่อจะสร้างถนนผ่านภูเขา ในเทือกเขา Gehlour เขาทุ่มเททำงานนี้ทั้งวันและคืน
ในยามป่วย หรือ เหน็ดเหนื่อยเกินไปก็หยุดพักบ้าง และทำมาตลอด 22 ปี ตั้งแต่ปี 1960 -1982 ถนนแห่งความหวังเดียวของคนในหมู่บ้านก็เสร็จลุล่วง
สิ่งที่ “ดาสราฐ” ทำนั้น ช่วยลดระยะทางระหว่างที่เดิมต้องใช้ระยะทางไกลถึง 75 กิโลเมตร เหลือแค่เพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น “ดาสราฐ” ได้ถึงแก่ชีวิตเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปี 2007 รัฐบาลได้เป็นผู้ประกอบพิธีศพให้ในฐานะที่เขาเป็นผู้เสียสละและทำประโยชน์เพื่อมวลชน
เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลที่มีความเพียรพยายามอย่างอุกฤษฏ์ เพราะใช้มือขุดเจาะหินออกไปยาวถึง
360 ฟุต กว้าง 30 ฟุต นั่น ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้
เรื่องของเขาสะท้อนให้ผู้คนในเมืองหันมาสนใจถึงความทุกข์ยากลำบากของคนชนบทบ้าง
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ซึ่งก่อนหน้านั้นเรื่องของ “ดาสราฐ” ช่างเศร้าเสียนี่กระไร
เขาทำการสร้างถนนจนสำเร็จ แต่ผลงานกลับไม่ได้รับการยอมรับ ไม่มีรางวัลใดๆ
ตอบแทนจากสังคม จนกระทั่งเขาได้ตายไป เมื่อเทียบกับรัฐบาลอินเดียใช้เงินหลายล้านรูปีเพื่อการตกแต่งบ้านของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ
มากกว่าจะตัดถนนเพื่อชาวบ้าน และแม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว
พวกเขาก็ไม่ได้มาพัฒนาอะไรให้เรา เช่นนี้แล้วเราควรจะจดจำใครมากกว่ากัน
ในปี 2556 รัฐบาลแคว้นมคธ ได้เสนอชื่อ ดาสราฐ แมนจิ ให้เข้าชิงรางวัลปัทมาศรี
(Padma Shree award) สำหรับการบริการสังคมดีเด่น
เชื่อว่า “ดาสราฐ” ไม่ได้ทำเพื่อหวังรางวัลอะไร
แต่เขาทำเพราะไม่ต้องการเห็นคนอื่นต้องรับทุกข์เหมือนเขา เขาบริหารทุกข์อย่างสร้างสรรค์
แน่ล่ะ คงมีไม่น้อยที่เห็นเขาทำเช่นนั้นอาจจะคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว ที่จะขุดภูเขาด้วยมือเปล่าๆ
แต่แล้ว... ด้วยความพยายาม แรงบันดาลที่เกิดจากความรักต่อภรรยา
นำมาซึ่งความสำเร็จที่ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเองเลย และในวันนี้อย่างน้อยคนทั่วโลกก็ชื่นชมเขา
นับถือเขาในฐานะมนุษย์ที่เกิดมาทำประโยชน์ต่อผู้อื่น เกิดมาอยู่บนโลกอย่างมีคุณค่า
แล้วเราวันนี้ เรามีค่าต่อโลกนี้มากเพียงใด หรือ เรานำแต่ความทุกข์มาสู่โลก
ทำให้โลกนี้หนักขึ้น คงไม่เป็นเช่นนั้นแน่ และไม่ว่าเรา จะสุข จะทุกข์อย่างไร จงรู้จักบริหาร
แปลงให้เกิดแรงบันดาลใจ ทำให้สังคมที่เราร่วมกันเดินอยู่นี้ให้น่าเดินยิ่งขึ้น
เดินไปสู่สวรรค์ด้วยกัน นี่จึงเป็นทางทานที่เราต้องใช้ความพยายามตลอดชีวิตช่วยกันถากถาง
แม้จะต้องทำด้วยมือเปล่า...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น