วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ใช้ชีวิตมิใช่โชว์ชีวิต


ใช้ชีวิตมิใช่โชว์ชีวิต
ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำสมัยทำให้ผู้คนสามารถที่จะค้นหาความรู้ไว้กับตัวเองได้อย่างง่ายดาย จึงมีผู้รู้มากมายเกิดขึ้นในสังคม แต่ก็แปลก...ทำไมสังคมโลกกลับแย่ลงหรือยังคงเหมือนเดิมย่ำอยู่กับที่  เรามีสิ่งใหม่ๆที่พัฒนามาจากความรู้เดิม เพียงเพื่อให้ได้มาแค่ผลประโยชน์แห่งตนเพียงเท่านั้นหรือ ความรู้ของคนเรามิได้ทำให้เกิดความรักเลยหรือ น่าอดสูใจมิใช่น้อยที่เราเห็นการใช้อาวุธเคมีทำร้ายฝูงชนในประเทศซีเรีย รู้ทั้งรู้ว่ามันคือสิ่งที่เลวร้าย โหดร้าย มนุษย์ก็ยังทำกันได้ ไหนจะทำให้ยอดอ่อนแห่งสงครามผลิดอกออกผล จากการที่ประเทศที่มีอำนาจจ้องจะเข้ามาจัดการ ด้วยอาวุธที่ทันสมัยทั้งเครื่องบิน จรวด  ประดามีขนมาเพียงเพื่อให้เกิดสันติภาพ มันใช่หรือ...เพียงแค่นี้เราก็เห็นว่าความรู้ที่เราพยายามเสาะแสวงหานั้นไม่ใช่เพื่อช่วยให้เราเข้าถึงสันติสุข แต่กลายเป็นเปลือกเพื่ออวดอ้างกันเสียมากกว่า ความรู้ไม่ได้ทำให้มนุษย์เข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่เป็นกับดักที่ทำให้ผู้คนยึดติดท่ามกลางความสับสน การแยกแยะโดยใช้ปัญญาเป็นเพียงหมอกที่บดบังให้ความเข้าใจในพระเจ้าเลือนรางยิ่งขึ้น เรามองเห็นการเข้าครอบครองให้ได้มาคือพระเจ้าองค์ใหม่ และใช้พระเจ้าเพียงเพื่ออวดอ้างสรรพคุณของตนเอง..
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ความรู้ถ้านำมาประยุกต์ใช้ ให้กลายเป็นการรู้จักใช้ชีวิตได้ ก็จะเพิ่มคุณค่าในการดำรงอยู่ เพิ่มคุณภาพในการดำเนินไปในหนทางธรรมได้เป็นอย่างดี แต่ในบางครั้งเราก็แยกแยะไม่ออกอีกว่า จะใช้ชีวิตอย่างไร ไปติดกับการใช้ความรู้เพื่อโชว์ชีวิตเราเสียอย่างนั้น ประจวบกับวันนี้เราอยู่ในยุคโซเชี่ยลมีเดียครองเมือง กลายเป็นเวทีที่จะแสดงอะไรก็ได้ วิพากษ์วิจารณ์ใครก็ได้โดยใช้เพียงชื่อ แต่ไร้ตัวตน หลายคนจึงใช้เป็นเวทีโชว์ความรู้ที่คิดว่าสุดยอดแล้ว คิดว่ารู้อยู่เพียงผู้เดียว แสดงภูมิ แสดงความคิดออกมา โชว์ว่าข้านี้เหนือชั้นขั้นเทพ ข้านี่เก่ง รู้ไปเสียทุกเรื่อง อย่างนี้คือการอวดรู้ อวดดีเกินไป เลยเถิดไปจนคิดว่าความรู้คือความดี ที่ใช้เพิ่มบารมีให้กับตัวเอง
ในอีกด้านหนึ่งยิ่งเราโชว์ชีวิตว่าเก่งมากเท่าใด มันก็มีผลภัยตามมามากเท่านั้น ในโลกนี้ย่อมยังมีผู้ที่เหนือกว่า ทำทีแกล้งชม แกล้งยกยอแล้วก็เอาผลประโยชน์จากการที่เราโชว์เก่งโชว์เก๋า เช่นนี้แล้วเราต้องไม่ลืมว่า ไม่จำเป็นเลยที่เราจะต้องไปนั่งแถวหน้าเสมอไป อาจจะมีคนที่เขาเหมาะสมกว่าเรา เก่ง(จริงๆ) กว่าเราอีก การใช้ชีวิตให้เป็นนั้น คือการรู้จักคุณค่าของตัวเอง จัดวางตัวเองให้ถูกที่ ถูกทาง ถูกจังหวะ สิ่งเหล่านี้เราใช้ความรู้เป็นเพียงพื้นฐาน แต่ต้องใช้หัวใจจึงจะค้นพบ
            มีช่างไม้คนหนึ่งเดินทางไปยังต่างเมือง เมื่อเขาเห็นต้นโอ๊กลำต้นคดงอยืนตระหง่านเหนือศาลเจ้าประจำหมู่บ้านแห่งหนึ่ง กิ่งก้านแผ่สยายกว้างใหญ่พอที่จะเป็นร่มเงาพักอาศัยแก่วัวนับพันตัว ลำต้นใหญ่นับร้อยโอบ มีกิ่งอันใหญ่โตนับสิบที่สามารถนำมาขุดเป็นเรือ ผู้คนจำนวนมากต่างหลั่งไหลมาชมกันเนืองแน่นราวมีงานเทศกาล แต่ช่างไม้กลับไม่ยอมเสียเวลาหยุดมอง ยังคงรุดเดินหน้าไป โดยไม่ชะลอฝีเท้า ลูกน้องของเขากลับหยุดจ้องมองไม้ใหญ่นั้นเนิ่นนาน จากนั้นจึงรีบวิ่งไล่ตามช่างไม้ และถามขึ้นว่า นับตั้งแต่ข้าได้จับขวานและติดตามท่านมา ข้าไม่เคยเห็นไม้ที่สวยงามเท่านี้มาก่อน แต่ท่านกลับไม่เหลียวมอง และเดินผ่านไปโดยไม่หยุดยั้ง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”
         “ลืมมันเสียเถอะ อย่ากล่าวสิ่งใดอีกช่างไม้ตอบ มันเป็นต้นไม้ที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี นำมันมาทำเรือ เรือเหล่านั้นก็จะจม นำมันมาทำโลงศพ โลงศพเหล่านั้นก็จะผุพังอย่างรวดเร็ว นำมันมาทำเป็นภาชนะ ก็จะแตกร้าว นำมันมาทำเป็นประตู ก็จะมียางไม้ซึมออกมาอย่างไม้สน นำมันมาทำเป็นเสาเรือน ปลวกก็จะมาแทะกิน มันไม่ใช่ไม้ที่อาจทำเป็นซุง ไม่อาจนำมันมาใช้ประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น เหตุนี้เอง มันจึงมีชีวิตอยู่ยืนยาวถึงเพียงนี้
        เมื่อช่างไม้กลับมาถึงบ้าน ต้นโอ๊กได้มาปรากฏในความฝัน และพูดขึ้นว่า เจ้านำข้าไปเปรียบเทียบกับอะไร?? เจ้านำข้าไปเปรียบกับบรรดาต้นไม้ที่มีประโยชน์เหล่านั้นหรือ? ต้นบ๊วย ต้นสาลี่ ต้นส้ม ต้นมะนาว และเหล่าไม้พุ่มไม้ผลอื่นๆ ทันทีที่ผลของมันสุกงอม มันก็จะถูกเด็ดถูกดึงและลิดรอนกิ่งก้าน กิ่งใหญ่ของมันหักร่วง กิ่งเล็กกิ่งน้อยถูกดึงกระชากไปมา ความมีประโยชน์ได้นำทุกข์มาสู่ชีวิตของมัน ดังนั้น มันจึงไม่สามารถยืนหยัดถึงอายุขัยที่ฟ้าประทานให้ ทว่ากลับถูกตัดรอนเสียกลางคัน มันได้นำภัยสู่ตัวเอง ถูกรุมทึ้งฉีกกระชากจากฝูงชน และทุกสิ่งก็ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกันนี้
       “สำหรับข้า ได้เพียรพยายามมาเนิ่นนานที่จะเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ กระทั่งจวนเจียนจะสิ้นชีพ ทว่าก็บรรลุถึงในที่สุด นี่คือประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่สำหรับข้า หากข้ามีประโยชน์ใช้สอยบางอย่าง จะมีโอกาสเติบโตเป็นไม้ใหญ่เช่นนี้ได้หรือ? ยิ่งไปกว่านี้ ทั้งท่านและข้าต่างก็เป็นเพียงสิ่งๆหนึ่ง การที่สิ่งหนึ่งประณามอีกสิ่ง จะมีความหมายใด? ท่าน..มนุษย์ผู้ไร้ค่าที่กำลังจะตาย จะมารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นต้นไม้ที่ไร้คุณค่า( ตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ บทที่สี่ โลกมนุษย์ )
            ใช่หรือไม่ เราแตกต่างกันได้ เราชำนาญและถนัดกันคนละด้าน คนละแบบ และเมื่อเรามาประสานสามัคคีกัน นำข้อดีข้อเด่นของแต่ละคนมาหลอมรวมกัน โดยไม่แย่งกันเด่นแย่งกันดัง ความสมบูรณ์ก็เกิดขึ้น อย่างเช่นการฉลองวัดเซนต์หลุยส์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทุกคนรู้ว่าเราควรอยู่ตรงไหน ควรทำอะไร แล้วประสานใจโดยมีพระเยซูคริสตเจ้าเป็นศูนย์กลาง งานก็ออกมาราบรื่นดังที่เห็น เช่นนี้แล้วจำเป็นหรือที่เราจะโชว์ความเด่นของเราให้สังคมได้เห็น แล้วจะมีประโยชน์อันใดในชีวิตเล่า...

ไม่มีความคิดเห็น: