วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สุขใครสุขเรา

สุขใครสุขเรา
เหมือนกับเรื่องราวในหนังเลย แต่นี่...มันเป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นในยุคเทคโนโลยีล้ำสมัย ในยุคเฟื่องฟูด้วยความรู้ และการดำเนินชีวิตที่แสนจะสะดวกสบาย เรื่องนี้เกิดแบบไม่น่าเป็นไปได้ นั่นคือเรื่องราวของ คนป่า ที่ประเทศเวียดนาม
ภาพจาก http://www.manager.co.th
จากข่าวที่ทางการท้องถิ่น ในภาคกลางเวียดนาม ได้นำชาย 2 พ่อลูกออกจากป่าลึกใกล้ชายแดนลาวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สองพ่อลูกเป็นชนชาติส่วนน้อยเผ่ากอร์ (Kor) ปัจจุบันเหลือประชากรอยู่ไม่มาก และเนื่องจากได้หายไปดำรงชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นเวลากว่า 40 ปี จนแทบไม่มีโอกาสได้พบปะสมาคมกับผู้คนจากโลกภายนอก ทำให้จำคำในภาษาดั้งเดิมของตัวเองได้เพียงน้อยนิด
ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 40 ปีก่อน นายโห่วันแทง เคยอาศัยอยู่กับครอบครัวในท้องที่คอมมูนจ่าแกม (Tra Kem) เขาถูกเกณฑ์เป็นทหารเพื่อทำสงครามกับสหรัฐฯ นายแทง มีบุตรกับภรรยา 3 คน และลูกชายคนเล็กเพิ่งคลอดเมื่อเขาต้องออกจากบ้านไปกับกองทัพ
2 ปีต่อมา เมื่อกลับมาถิ่นเกิด ก็ได้พบว่า ไม่มีบ้านที่เคยอยู่เหลืออยู่อีกแล้ว ญาติๆ รวมทั้งภรรยากับลูก 2 คนเสียชีวิตในหลุมหลบภัย จากการทิ้งระเบิดครั้งหนึ่งของเครื่องบินสหรัฐฯ ซึ่งมีคนตายเป็นจำนวนมากในคราวเดียวกัน นายแทง เหลือบุตรชายคนเล็กเพียงคนเดียวที่ญาติๆ เลี้ยงดูให้ จึงนำลูกชายเข้าป่าหายลับไป นี่ไง ใช่หรือไม่ ความโหดร้ายของสงคราม เป็นความโง่เขลาของมวลมนุษย์โดยแท้จริง
นายแทง กับลูก อาศัยอยู่ บนบ้านที่สร้างขึ้นบนคบไม้สูงจากพื้นราว 6 เมตร ซึ่งช่วยให้ปลอดภัยจากสัตว์ป่าดุร้าย หรืออสรพิษ ทั้งสองสวมเสื้อผ้าที่ทำจากเปลือกไม้ทุบตัดเป็นชิ้นๆ ใช้เถาวัลย์ชนิดหนึ่งสอดมัดเข้าด้วยกันให้เป็นรูปทรง ปกปิดร่างกาย และให้ความอบอุ่น มีสิ่งของเครื่องใช้สารพัดเท่าที่จะหาได้ ซึ่งรวมทั้งขวานหิน กับขวานเหล็กที่ด้ามทำจากกิ่งไม้ อาหารที่สองพ่อลูกรับประทานกันเป็นหลัก ได้แก่ ข้าวโพด กับมันสำปะหลัง ทั้งที่ปลูกเองและขึ้นตามธรรมชาติ ออกหาผลไม้ป่าและออกล่าสัตว์ป่าขนาดเล็ก จุดไฟหุงหาอาหารโดยใช้วิธีดั้งเดิมแบบดึกดำบรรพ์
ภาพจาก http://www.manager.co.th
ต่อมาเมื่อมีผู้พบเห็นก็พยายามไปนำตัวออกมาเพื่อให้การรักษา แต่ดูเหมือนว่าการมาของทั้งสองคน มาแบบไม่ใคร่จะเต็มใจนัก โดยเฉพาะ นายแทง ผู้เป็นพ่อ เจ้าหน้าที่ทางการท้องถิ่นได้นำสองพ่อลูกไปยังโรงพยาบาลประจำอำเภอ ให้แพทย์ตรวจสุขภาพร่างกาย ฉีดวัคซีน ขณะที่ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ออกโครงการช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายกับจิตใจ เพื่อนำกลับเข้าไปใช้ชีวิตปกติในสังคมศิวิไลซ์อีกครั้งหนึ่ง ผู้พ่อที่มีวัย 82 ปี ร่างกายอ่อนแอด้วยชราภาพ แต่ก็ยังยืนยันจะกลับไปใช้ชีวิตอาศัยอยู่ใน บ้านบนต้นไม้ในป่าลึกตามเดิม แต่คนเมืองที่บอกว่าศิวิไลซ์ไม่ยอม จึงได้ทำการมัดมือมัดเท้า ไม่ให้หลบหนีอีก
พอได้อ่านเรื่องราวข่าวนี้แล้ว มีคำถามหนึ่งเกิดขึ้นทันที นี่เป็นความประสงค์ดีของเราในยุคสมัยนี้ที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ช่วยเอื้ออำนวยให้กับการดำเนินชีวิตเราได้อย่างดียิ่ง แล้วสำหรับสองคนพ่อลูกนั้น เราคิดว่าพวกเขาจะมีความสุขไหมที่ต้องออกมาเผชิญชีวิตในโลกใหม่แบบนี้!!! แบบที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน พวกเขาจะปรับตัวได้ไหมและที่สุดเขาจะมีความสุขไหม นั่นเป็นเรื่องในอนาคตที่น่าติดตามค้นหา ใช่แหละส่วนหนึ่งเป็นความปรารถนาดีต่อมนุษย์ด้วยกัน แต่ควรที่จะกระทำการแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป ค่อยๆปรับสภาพพ่อลูกนั้น ทั้งความเป็นอยู่และทางด้านจิตใจ ที่ถูกผลกระทบแห่งความโง่เขลาของมนุษย์มาแล้ว
 
ภาพจาก http://www.manager.co.th
ในอีกด้านหนึ่งก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่า เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบหยิบยื่นสิ่งที่เราคิดว่าทำแล้วเรามีความสุข ทำแล้วดีนะ ก็บังคับแกมขอร้องให้คนอื่นทำแบบตนเองดูบ้าง ยกตัวอย่างง่ายๆ วันหนึ่งเราอยากให้แม่ที่อยู่ต่างจังหวัดในวันที่ขาดพ่อไป เห็นแม่เหงาๆก็อยากพาแม่มาอยู่กับลูกๆในเมืองหลวงซึ่งมีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจเต็มไปหมด แม่ก็อยู่ไม่ได้ กลับเหงาเฉาลงไปอีก แม่ชินกับชีวิตต่างจังหวัด ในสถานที่กว้างๆไม่ใช่ห้องเล็กๆสี่เหลี่ยม ทำให้เข้าใจมากขึ้นว่าความสุขของคนเรานั้นไม่เหมือนกัน ความสุขของใครก็ของมัน อย่าได้ไปบีบบังคับให้คนอื่นมีความสุขเหมือนเรา
ยังมีอีกหลายๆสิ่งที่คนสังคมศิวิไลซ์ สังคมเมืองในทุนนิยม ที่บอกว่าความสุขที่แท้จริงคือการมีเงินทอง มีตำแหน่ง มีรถหรู มีบ้านใหญ่ แล้วก็ใช้วิธีบังคับหมู่บังคับสาธารณะ ผ่านสื่อ กล่อมผู้คนให้คิดตามด้วยโฆษณาชวนเชื่อ แล้วเราก็เชื่อ เขารวยเขาสุขแต่เราจนลง ทุกข์มากขึ้น เขาก็บอกว่าทำตามสิ่งที่เราบอกแล้วไม่นานความสุขจะมาเยี่ยมเยียน เราไม่ได้แสวงหาความสุขตามแบบของเรา แต่เราถูกล้อมกรอบด้วยความสุขสำเร็จรูป ที่รสชาติมันไม่หอมหวาน แล้วเราก็แกล้งว่าเราสุข ก็ไปบังคับให้คนรอบข้างทำอย่างนี้ อย่างนั้น เพื่อให้สุขแบบครบถ้วนหน้า แต่ในปลายหวังของแต่ละคนนั้น เพียงเพื่อให้ตัวเองสุขเพียงผู้เดียว

แทนที่เราจะบังคับให้ใครๆมีความสุขเหมือนเรา ทำไมเราไม่แบ่งปันความสุขของเราที่มีอยู่แล้วออกไปให้ผู้อื่นเล่า หมั่นเรียนรู้ว่าใครชอบอะไรไม่ชอบอะไร เราต่างก็มีความสุขของใครของมัน เราต้องปรับความสุขของเราแต่ละคนให้เข้ากับผู้อื่นให้ได้ จำไว้ว่าความสุขของแต่ละคนยังไงก็ไม่เหมือนกัน แต่สามารถสุขร่วมกันได้ เพียงเท่านี้เราและเขาก็มีความสุข โดยที่ไม่ต้องทำแบบเดียวกัน 

ไม่มีความคิดเห็น: