สุขใครสุขเรา
เหมือนกับเรื่องราวในหนังเลย
แต่นี่...มันเป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นในยุคเทคโนโลยีล้ำสมัย
ในยุคเฟื่องฟูด้วยความรู้ และการดำเนินชีวิตที่แสนจะสะดวกสบาย
เรื่องนี้เกิดแบบไม่น่าเป็นไปได้ นั่นคือเรื่องราวของ “คนป่า” ที่ประเทศเวียดนาม
ภาพจาก http://www.manager.co.th |
จากข่าวที่ทางการท้องถิ่น
ในภาคกลางเวียดนาม ได้นำชาย 2
พ่อลูกออกจากป่าลึกใกล้ชายแดนลาวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
สองพ่อลูกเป็นชนชาติส่วนน้อยเผ่ากอร์ (Kor) ปัจจุบันเหลือประชากรอยู่ไม่มาก
และเนื่องจากได้หายไปดำรงชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นเวลากว่า 40 ปี จนแทบไม่มีโอกาสได้พบปะสมาคมกับผู้คนจากโลกภายนอก
ทำให้จำคำในภาษาดั้งเดิมของตัวเองได้เพียงน้อยนิด
ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 40 ปีก่อน
นายโห่วันแทง เคยอาศัยอยู่กับครอบครัวในท้องที่คอมมูนจ่าแกม (Tra Kem) เขาถูกเกณฑ์เป็นทหารเพื่อทำสงครามกับสหรัฐฯ นายแทง มีบุตรกับภรรยา 3
คน และลูกชายคนเล็กเพิ่งคลอดเมื่อเขาต้องออกจากบ้านไปกับกองทัพ
2 ปีต่อมา
เมื่อกลับมาถิ่นเกิด ก็ได้พบว่า ไม่มีบ้านที่เคยอยู่เหลืออยู่อีกแล้ว ญาติๆ
รวมทั้งภรรยากับลูก 2 คนเสียชีวิตในหลุมหลบภัย
จากการทิ้งระเบิดครั้งหนึ่งของเครื่องบินสหรัฐฯ
ซึ่งมีคนตายเป็นจำนวนมากในคราวเดียวกัน นายแทง
เหลือบุตรชายคนเล็กเพียงคนเดียวที่ญาติๆ เลี้ยงดูให้ จึงนำลูกชายเข้าป่าหายลับไป
นี่ไง ใช่หรือไม่ ความโหดร้ายของสงคราม เป็นความโง่เขลาของมวลมนุษย์โดยแท้จริง
นายแทง กับลูก อาศัยอยู่ “บนบ้าน” ที่สร้างขึ้นบนคบไม้สูงจากพื้นราว 6 เมตร ซึ่งช่วยให้ปลอดภัยจากสัตว์ป่าดุร้าย หรืออสรพิษ
ทั้งสองสวมเสื้อผ้าที่ทำจากเปลือกไม้ทุบตัดเป็นชิ้นๆ
ใช้เถาวัลย์ชนิดหนึ่งสอดมัดเข้าด้วยกันให้เป็นรูปทรง ปกปิดร่างกาย และให้ความอบอุ่น
มีสิ่งของเครื่องใช้สารพัดเท่าที่จะหาได้ ซึ่งรวมทั้งขวานหิน
กับขวานเหล็กที่ด้ามทำจากกิ่งไม้ อาหารที่สองพ่อลูกรับประทานกันเป็นหลัก ได้แก่
ข้าวโพด กับมันสำปะหลัง ทั้งที่ปลูกเองและขึ้นตามธรรมชาติ
ออกหาผลไม้ป่าและออกล่าสัตว์ป่าขนาดเล็ก จุดไฟหุงหาอาหารโดยใช้วิธีดั้งเดิมแบบดึกดำบรรพ์
ภาพจาก http://www.manager.co.th |
ต่อมาเมื่อมีผู้พบเห็นก็พยายามไปนำตัวออกมาเพื่อให้การรักษา
แต่ดูเหมือนว่าการมาของทั้งสองคน มาแบบไม่ใคร่จะเต็มใจนัก โดยเฉพาะ นายแทง ผู้เป็นพ่อ เจ้าหน้าที่ทางการท้องถิ่นได้นำสองพ่อลูกไปยังโรงพยาบาลประจำอำเภอ
ให้แพทย์ตรวจสุขภาพร่างกาย ฉีดวัคซีน
ขณะที่ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ออกโครงการช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายกับจิตใจ เพื่อนำกลับเข้าไปใช้ชีวิตปกติในสังคมศิวิไลซ์อีกครั้งหนึ่ง
ผู้พ่อที่มีวัย 82 ปี ร่างกายอ่อนแอด้วยชราภาพ
แต่ก็ยังยืนยันจะกลับไปใช้ชีวิตอาศัยอยู่ใน “บ้าน” บนต้นไม้ในป่าลึกตามเดิม แต่คนเมืองที่บอกว่าศิวิไลซ์ไม่ยอม
จึงได้ทำการมัดมือมัดเท้า ไม่ให้หลบหนีอีก
พอได้อ่านเรื่องราวข่าวนี้แล้ว
มีคำถามหนึ่งเกิดขึ้นทันที
นี่เป็นความประสงค์ดีของเราในยุคสมัยนี้ที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก
ช่วยเอื้ออำนวยให้กับการดำเนินชีวิตเราได้อย่างดียิ่ง แล้วสำหรับสองคนพ่อลูกนั้น เราคิดว่าพวกเขาจะมีความสุขไหมที่ต้องออกมาเผชิญชีวิตในโลกใหม่แบบนี้!!!
แบบที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน พวกเขาจะปรับตัวได้ไหมและที่สุดเขาจะมีความสุขไหม
นั่นเป็นเรื่องในอนาคตที่น่าติดตามค้นหา
ใช่แหละส่วนหนึ่งเป็นความปรารถนาดีต่อมนุษย์ด้วยกัน แต่ควรที่จะกระทำการแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป
ค่อยๆปรับสภาพพ่อลูกนั้น ทั้งความเป็นอยู่และทางด้านจิตใจ
ที่ถูกผลกระทบแห่งความโง่เขลาของมนุษย์มาแล้ว
ภาพจาก http://www.manager.co.th |
ยังมีอีกหลายๆสิ่งที่คนสังคมศิวิไลซ์
สังคมเมืองในทุนนิยม ที่บอกว่าความสุขที่แท้จริงคือการมีเงินทอง มีตำแหน่ง มีรถหรู
มีบ้านใหญ่ แล้วก็ใช้วิธีบังคับหมู่บังคับสาธารณะ ผ่านสื่อ
กล่อมผู้คนให้คิดตามด้วยโฆษณาชวนเชื่อ แล้วเราก็เชื่อ เขารวยเขาสุขแต่เราจนลง
ทุกข์มากขึ้น เขาก็บอกว่าทำตามสิ่งที่เราบอกแล้วไม่นานความสุขจะมาเยี่ยมเยียน
เราไม่ได้แสวงหาความสุขตามแบบของเรา แต่เราถูกล้อมกรอบด้วยความสุขสำเร็จรูป
ที่รสชาติมันไม่หอมหวาน แล้วเราก็แกล้งว่าเราสุข ก็ไปบังคับให้คนรอบข้างทำอย่างนี้
อย่างนั้น เพื่อให้สุขแบบครบถ้วนหน้า แต่ในปลายหวังของแต่ละคนนั้น
เพียงเพื่อให้ตัวเองสุขเพียงผู้เดียว
แทนที่เราจะบังคับให้ใครๆมีความสุขเหมือนเรา
ทำไมเราไม่แบ่งปันความสุขของเราที่มีอยู่แล้วออกไปให้ผู้อื่นเล่า
หมั่นเรียนรู้ว่าใครชอบอะไรไม่ชอบอะไร เราต่างก็มีความสุขของใครของมัน
เราต้องปรับความสุขของเราแต่ละคนให้เข้ากับผู้อื่นให้ได้
จำไว้ว่าความสุขของแต่ละคนยังไงก็ไม่เหมือนกัน แต่สามารถสุขร่วมกันได้
เพียงเท่านี้เราและเขาก็มีความสุข โดยที่ไม่ต้องทำแบบเดียวกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น