บทเรียนลอยฟ้า
ด้วยการพัฒนาทางด้านการขนส่งและคมนาคม
ทำให้เราเคลื่อนตัวจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งด้วยเวลาที่รวดเร็ว วันนี้...เราอยู่ซีกโลกนี้
รุ่งขึ้น...ก็สามารถไปอยู่อีกซีกโลกในประเทศอื่นได้ เมื่อเช้า..อยู่จังหวัดนี้
ตกเย็น...ก็สามารถมาดื่มด่ำกับบรรยากาศในต่างจังหวัด ต่างสถานที่ได้
สิ่งนี้เองที่ทำให้เรามีโลกที่กว้างขึ้น มีมุมมองที่ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่หลากหลาย
เป็นบทเรียนที่เวียนมาให้อ่าน ให้ศึกษาค้นคว้า ได้อย่างมิมีวันจบสิ้น
เพียงแต่ว่าใครจะรัก ใครจะชอบ ที่จะเปิดตาเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ แล้วนำมาพัฒนา
นำมาเป็นบทเรียนให้กับชีวิตได้มากกว่ากัน มีบ้างบางคนเดินทางไปในหลายๆที่ เห็นโลกกว้าง
แต่หัวใจกลับปิดมิดลง มันก็ขึ้นอยู่กับว่า เรามีทัศนคติอย่างไรต่อสิ่งที่พบเจอ
ต่อการดำเนินชีวิต พร้อมน้อมรับบทเรียนที่ไหลหลากหลายเข้ามาและหยิบฉวยมาถักทอต่อยอดได้มากแค่ไหน
และแน่นอนสิ่งสำคัญที่สุดในการปรับทัศนคติ คือ เราควรเห็นแง่งามต่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
ในวันที่ต้องใช้บริการการบินเพื่อไปทำภารกิจยังจังหวัดที่ไกลจากเมืองหลวง
ในขากลับนั้น ได้เที่ยวบินรอบเที่ยงๆกว่า อันเนื่องจากมีการเปลี่ยนการเดินทางแบบกะทันหัน
จึงได้ที่นั่งอยู่ทางด้านหลังเครื่องบิน ผู้โดยสารในรอบนี้ไม่ถึงกับเต็ม ยังมีที่ว่าง
จึงทำให้มีโอกาสสับเปลี่ยนมานั่งดูท้องฟ้าอยู่ริมหน้าต่าง เวลาหนึ่งชั่วโมงหากหมดไปกับการที่ต้องดูศีรษะหรือดูหลังของพนักเก้าอี้เบื้องหน้านั้น
ดูจะไม่เป็นเรื่องสนุกเอาเสียเลย ดังนั้นแล้ว เมื่อมีโอกาสที่สายตาจะได้เห็นสิ่งที่เคลื่อนไหวไปมาได้
ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ วันนี้ท้องเปิด
เห็นเมฆล่องลอยผ่านไปมาอย่างสวย ยิ่งนั่งมองยิ่งเห็นความหลายหลากรูปแบบของกลุ่มก้อนเมฆ
บางแห่งหนาแน่น บางแห่งอยู่กันอย่างเบาบาง ในช่วงจังหวะหนึ่งมองเห็นชั้นท้องฟ้าแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน
ด้านบนสุดออกจะดูอึมครึม ตรงกลางดูมีสีสันที่สวยงาม ตรงด้านล่างมีกลุ่มเมฆขาวสว่างสดใส
ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนั้น ในบางวันเราพบทั้งสามด้าน ในบางเวลาอาจจะจมอยู่ในชั้นบนสุดที่หมองหม่นปนทุกข์
ในบางจังหวะปรับตัวรับทุกข์สุขได้ แล้วมีบ่อยครั้ง ที่เรารู้สึกโล่งปลอดโปร่ง
สิ่งเหล่านี้ล้วนวนเวียนอยู่ในชีวิต หากเรารู้จัก รู้ทัน รู้จักปรับ เราก็สามารถมองเห็นความงามในทุกช่วงขณะของชีวิต
ครั้นเมื่อเครื่องลดระดับลงเพื่อร่อนลงจอด
จนสามารถมองเห็นพื้นแผ่นดิน สิ่งปลูกสร้าง ตึกรามบ้านเรือนที่อยู่ข้างล่าง
ยามเมื่อเราอยู่บนแผ่นดิน สิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นใหญ่โตมโหฬาร ยามมองมาจากข้างบนนั้นดูเล็กกระจิดริด
เห็นก้อนเมฆหลายก้อน หลายขนาดล่องลอยผ่านไป ภายใต้ก้อนเมฆเหล่านั้นก็บังเกิดเป็นร่มเงา
ตามรูปร่าง ในครั้งแรกคิดว่าเป็นบ่อน้ำ แต่เมื่อจ้องดูเพ่งพิศดีๆแล้วนั่น
เห็นชัดเลยว่าเป็นเงาจากก้อนเมฆ พลันก็คิดไปว่า แล้วเราเป็นเงาเมฆให้กับใครได้บ้างหรือเปล่า
???
ใช่หรือไม่...สาระสำคัญของการมีชีวิตนั้น
คือ การมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น เป็นร่มเงาให้ผู้อื่นบ้าง แต่ในทัศนะของคนในสังคมวันนี้
การมีชีวิตรอดนั้นก็เพื่อการเป็นสุดยอดคนเท่านั้นเอง ทำให้ทุกคนต่างผลักดันตัวเองขึ้นให้สูงอยู่เหนือคนอื่น
จนกระทั่งกลายเป็นความปรารถนาที่จะควบคุมคนอื่น ไม่เป็นเงาปกคลุมให้ร่ม
แต่ชอบที่จะให้คนอื่นอยู่ภายใต้อำนาจของตัวเอง เมื่อไม่สามารถควบคุมได้ ก็ใช้อำนาจบังคับให้ทุกคนสยบยอม
จึงกลายเป็นว่า คนที่มีอำนาจ สามารถที่จะอยู่เหนือคนอื่นได้
ทุกคนจึงไขว่ขว้าหาอำนาจ แล้วพยายามเป็นเมฆที่อยู่สูง แต่เมฆนั้นมันเป็นเมฆที่กลายเป็นเมฆฝนคะนอง
เป็นพายุแรงที่พร้อมจะซัดใส่ใครที่บังอาจมาขวางหน้า ทำความเดือดร้อนให้สรรพสิ่งภายใต้ตน
ในเมื่อทุกคนอยากอยู่เหนือคนอื่น พยายามที่จะดันให้ลอยสูงขึ้นจึงเกิดการแข่งขัน
ช่วงชิง ความเป็นใหญ่
จริงๆแล้วเป็นเมฆก้อนหนึ่งก็ให้ร่มเงาแบบหนึ่งได้แม้จะไม่มากนัก
แต่ถ้าเมื่อเมฆรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน เป็นแผ่นเมฆที่หนาแน่น ความร่มเย็นก็จะปรากฏให้เห็นอย่างกว้างขวาง
อากาศที่ร้อนแรงจากแสงอาทิตย์ก็จะทุเลาเบาลง สรรพสิ่งใต้ร่มเงาก็จะมีชีวิตชีวา ไม่ถูกเผาไหม้ให้แห้งตาย
เมื่อถึงที่สุดเมฆก้อนใหญ่นั้นก็พร้อมใจกันสลายเป็นหยาดฝนละอองจากฟากฟ้าลงสู่ผืนแผ่นดิน
นี่จึงเป็นบทเรียนว่า เมื่อเราสูง เราใหญ่ ใยไม่ใช้สิ่งเหล่านี้เอื้อเพื่อคนอื่นเล่า
สันติภาพ สันติสุข เกิดขึ้นจากภายในที่พร้อมกระทำเพื่อคนอื่น แม้สูงเด่นก็ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นแหงนหน้าเรียกหา
ใช้ความสูงล้ำนำพาคนอื่นให้มีชีวิตที่งดงามจะไม่ดีกว่าหรือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น