วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เปลือกไข่ในวันพรุ่งนี้

เปลือกไข่ในวันพรุ่งนี้
เป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่ดูเหมือนมีอะไรให้ต้องทำมากมาย จนกระทั่งแทบจะไม่มีเวลาคิดเรื่องมานั่งเขียนบทความ ดูแล้วเช้าวันจันทร์คงพอมีเวลาบ้างที่จะนั่งขีดเขียน และก็ต้องขอบคุณเครื่องสมัยใหม่ที่พกติดตัวไปไหนมาไหนได้สะดวก หยิบออกมาโน้ต มาพิมพ์สิ่งที่คิดได้อย่างรวดเร็ว เครื่องมือพร้อม แต่ความคิดสมองนี่สิ ยังไม่พร้อมจะหยิบเรื่องราวอันใดมาขีดเขียนดี ใต้ร่มไม้ใหญ่กับหนังสือเล่มหนึ่งที่อ่านค้างคาอยู่ ถูกนำมาวางไว้เพื่อปลุกสมองให้ตื่นขึ้น ให้นำความคิด เป็นพลังสร้างสรรค์
ในขณะนั้นเอง เสียงเพลงจากรถคันหนึ่งที่เปิดดังสนั่นวิ่งผ่านไป ด้วยความเร็วจึงได้ยินเพียงหนึ่งประโยคว่า คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน ... แล้วเสียงก็หลุดหายไปตามแรงเร็วของรถคันนั้น (ก็เร็วซะจนกลัวว่าคนขับจะมีพรุ่งนี้หรือเปล่า...) ด้วยความที่อยากรู้ว่าเป็นเพลงของใคร เนื้อเพลงเต็มว่าอย่างไร ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย คือเครื่องมือเสาะหาที่มีประสิทธิภาพเพียงปลายนิ้วสัมผัส แล้วเนื้อเพลงนั้นก็ปรากฏให้เห็นชื่อเพลงว่า ชีวิตเป็นของเรา ของวง บอดี้สแลม น้องๆวัยรุ่นคงรู้จักเป็นอย่างดี
เนื้อเพลงยาวพอสมควร แต่เอาท่อนที่รู้สึกว่า ฟังแล้วทำให้เราหยุดคิด
คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน  เวลามีเหลือกันเท่าไหร่ 
คนเราจะมีลมหายใจอีกกี่ครั้ง ใครจะรู้
คนเรายังมีสมองที่แตกต่างกัน ยังมีความฝันได้มากมาย  
คนเราจะมีชีวิตเริ่มใหม่ได้ใช้ คงน่าเสียดาย…”
แค่เพียงประโยคสั้นๆ มันทำให้เราต้องหยุดคิดทบทวนชีวิตของเราทันทีเลย เราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน ใครตอบได้บ้าง ใครจะรู้ สู้เตรียมตัวไว้ให้พร้อมจะดีกว่าไหม เตรียมอย่างไร?
ประจวบเหมาะกับหนังสือ เพราะเป็นวัยรุ่น จึงเจ็บปวด (เขียนโดย คิมรันโด (ชาวเกาหลี) แปลเป็นไทย โดย วิทิยา จันทร์พันธ์) ในบทที่อ่านอยู่ก็ได้พูดเตือนถึงชีวิตวัยรุ่นไว้ว่า
จงจำไว้ว่า หากลูกเจี๊ยบกะเทาะเปลือกไข่ของตัวเองจนแตกมันจะมีชีวิตรอด แต่ถ้ามันถูกคนอื่นทำให้เปลือกไข่แตกก่อน มันจะกลายเป็นอาหารอันโอชะของเขาคนนั้น จงให้พรุ่งนี้นำพาชีวิต
ใช่หรือไม่ ในยุคสมัยนี้ชีวิตเราก็เป็นเปลือกไข่ที่รอให้คนอื่นมากะเทาะออก เราไม่ค่อยใช้ชีวิตสร้างสรรค์ไปกับวันเวลาอย่างเต็มที่ ไม่ค่อยทำวันนี้ให้เต็มที่ เต็มที่ในที่นี่ หมายถึงเต็มที่ในความดี มิใช่เต็มที่ในความหมายว่าทำอะไรก็ได้ พระเจ้าให้ชีวิตเรามีอิสระเลือก ไม่ต้องรอ ต้องกล้าก้าวออกมา สู่ความจริงสู่แสงสว่าง เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน
องค์สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ได้ให้แนวทางที่ชัดเจนกับเยาวชนในงานชุมนุมเยาวชนโลกครั้งที่ 28 ที่บราซิล เพื่อให้เราก้าวไปกับวันพรุ่งนี้ได้อย่างมีคุณค่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาท่ามกลางผู้ร่วมงานชุมนุมกว่า 3 ล้านคน
โดยมีหัวข้อหลักจากพระวาจาที่ว่า จงไปสั่งสอนนานาชาติมาเป็นศิษย์ติดตามเรา พระองค์จึงได้มอบแนวทางการดำเนินชีวิตไว้อย่างน่าสนใจ
วันนี้ อาศัยแสงสว่างแห่งพระวาจาของพระเจ้าที่เราได้ฟัง พระเจ้ากำลังตรัสสิ่งใดกับเรา พ่อจึงขอสรุป 3 สิ่งที่ว่า ดังต่อไปนี้ 1) จงออกไป (Go), 2) จงอย่ากลัว (Be not afraid) และ 3) จงรับใช้ (Serve)
เรื่องแรก จงออกไป (Go) ... เราต้องไม่เก็บประสบการณ์นี้ไว้กับตัวเราคนเดียว ต้องไม่เก็บไว้กับเขตวัด หรือสังคมที่เราอยู่ ความเชื่อคือเปลวไฟที่จะร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความเชื่อได้รับการแบ่งปันและส่งมอบต่อไปไม่มีสิ้นสุด
เรื่องที่สอง จงอย่ากลัว (Be Not Afraid) บรรดาเยาวชนที่รัก เมื่อเราพบกับความท้าทายและความยากลำบาก มันจะทำให้เราแกร่งขึ้น เราได้ค้นพบทรัพยากรที่เราไม่เคยรู้ว่าเรามีในตัว พระเยซูไม่เคยเรียกบรรดาศิษย์ให้ดำเนินชีวิตเพียงลำพัง แต่พระองค์ทรงเรียกเขาให้ตั้งกลุ่มตั้งสังคมขึ้นมา
สุดท้าย จงรับใช้ (Serve) ... ชีวิตของพระเยซูมีเพื่อผู้อื่น นี่คือชีวิตของการรับใช้ การประกาศพระวรสารหมายถึงการเป็นประจักษ์พยานถึงความรักของพระเจ้า มันคือการเอาชนะความเห็นแก่ตัว มันคือการรับใช้ด้วยการก้มหัวลงและล้างเท้าเพื่อนพี่น้อง (ส่วนหนึ่งของบทเทศน์ จาก Fan page Pope Report)

จากสามสื่อที่ได้อ่านได้ยิน จึงได้นำมาร้อยเรียงเพื่อนำมาแบ่งปัน เราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน แล้ววันนี้เราได้ออกจากเปลือกไข่ที่หุ้มห่อเราแล้วหรือยัง เราจะออกมาแบบไหน แบบที่ชีวิตเต็มล้นไปด้วยพลัง หรือเพียงหวังให้มีคนมากะเทาะเปลือกให้ เป็นสิ่งที่เราควรนำมาทบทวน ในวันเวลาที่ผ่านพ้นล่วงเลยไปทุกๆวินาที เป็นสิ่งที่เด็กๆรุ่นใหม่ หรือเราผู้อยู่ในยุคสมัยใหม่ ที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง จนทำให้เราหลงลืมวิธีการเตรียมตัว วิธีมีชีวิตที่ดีมีคุณภาพ เรามักฝากชีวิตไว้กับสิ่งที่เคลือบเพียงภายนอกเพียงอย่างเดียว สร้างเปลือกให้สวยงาม โดยไม่เคยกะเทาะออกมาเพื่อให้มีชีวิตใหม่ สร้างเปลือกเพื่อให้คนอื่นเห็นความหรูหรา ความร่ำรวย ความนำสมัยเท่านั้นหรือ และเพื่อว่าเราจะอยู่กับวันเวลาได้อย่างคุ้มค่าและมีคุณค่าได้นั้น เราควรแสวงหาความงดงาม ความดี มิใช่บารมีฐานะทางสังคม เพราะหากเราไม่มีพรุ่งนี้ เงินทองก็ไม่สามารถนำเราสู่ทางสุขนิรันดร์ได้...

ไม่มีความคิดเห็น: