วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หาดงามยามน้ำลง


หาดงามยามน้ำลง
การเดินทางไปพักผ่อนแบบง่ายๆสบายๆไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องไปเที่ยวตรงนั้นตรงนี้ ก็เป็นการพักผ่อนได้ดีเยี่ยมอีกรูปแบบหนึ่ง การที่ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องเร่งรีบทำตามเวลาที่ถูกกำหนด ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปแบบธรรมดาของวิถีชีวิต ก็นับว่าเป็นความสุขอีกชนิดหนึ่งเช่นกัน แม้ว่าจะต้องติดอยู่บนท้องถนนที่มีรถราและผู้คนมากมายที่ต่างพากันออกจากเมือหลวง ที่หลบไปพักผ่อนตามชายหาดทะเลและขุนเขาป่าไม้ นานเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ก็ไม่ทำให้ตารางเวลาเสียไปเพราะเราไม่ได้วางตารางเวลาไว้แต่อย่างใด ไม่มีการนัดหมาย รู้เพียงปลายทาง คือหัวหิน และมีที่พักเป็นบ้านพักของคณะซิสเตอร์อุร์สุลิน ที่หาดเพชรสำราญ ที่นี่ถือว่าเป็นที่ที่ส่วนบุคคล จึงทำให้การพักผ่อนครั้งนี้ไม่ต้องไปแย่งช่วงชิงหาที่หลับที่นอนกับผู้ใด ส่วนเรื่องอาหารการกินเจออะไรที่ไหนก็กิน ไม่ต้องเลิศหรูต่อคิวคอยเวลา ให้เสียอารมณ์.. 
และแล้วชีวิตในช่วงเวลาหนึ่งเราก็มายืนในถิ่นหัวหิน ห้องพักไม่มีโทรทัศน์เหมือนบังคับทำให้ได้นอนเร็วยิ่งขึ้น ทำให้ตื่นเช้าได้อย่างสบาย มีเวลามาสูดอากาศริมชายหาดได้อย่างเต็มปอด หาดทรายที่กว้างมีความเป็นส่วนตัว มีศาลาริมหาดไว้สำหรับนั่งพักผ่อน หาดยามเช้างดงาม แสงอาทิตย์พยายามเบียดดันเมฆฝนเพื่อทอแสง แต่ทำได้เพียงชั่วครั้งชั่งคราว เพราะเมฆฝนที่หนาแต่ก็ไม่มีฝนตกหนัก ซ้ำยังช่วยทำให้อากาศเย็นลมโชยสบายๆมากยิ่งขึ้น มีเวลาเดินเล่นตามชายหาดไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักทักทายกับปูตัวน้อยที่วิ่งหนีลงรู และพวกมันก็ทิ้งร่องรอยการวิ่งลงรูนั้นออกรูนี้ไว้เป็นลวดลายงานศิลป์บนพื้นทรายอย่างงดงาม 
การมาเยือนหาดหัวหินถิ่นนี้อีกครั้งหนึ่ง ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งทางกายภาพ ที่มีผู้คนมากหน้าหลายชาติพันธุ์ขึ้น อาคาร ที่พัก โรงแรม รีสอร์ท ก็งอกตามมามากขึ้นเช่นกัน สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ ท้องทะเล ยังไงก็ยังเป็นที่พึ่งพิง ที่พักให้อาศัยยามกายล้าใจเหนื่อย เป็นสิ่งที่ช่วยให้กำลังใจกำลังกายได้รับการฟื้นฟูบำบัดได้เสมอ ท้องทะเลที่กว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูสุดลูกตา คลื่นที่พัดพาจากท้องทะเลและโยนตัวลงระนาบกับหาดทรายด้วยความอ่อนโยนดูกี่ครั้งเห็นกี่ทีก็ไม่มีเบื่อ พื้นทรายที่เหยียบย่ำพอค่ำคืนก็ตกอยู่ใต้แผ่นน้ำ ใช่...นี่ก็คือ อีกหนึ่งผลงานสร้างสรรค์ของธรรมชาติ เป็นความฉงนที่แฝงเร้นไปด้วยสัจจะธรรม น้ำทะเลกับหาดทราย น้ำขึ้นและน้ำลง
เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อยเข้าสู่ยามเย็นน้ำทะเลก็จะค่อยๆขึ้น กลืนกินหาดทรายให้เหลือพื้นที่น้อยลง จวบจนค่ำคืนความมืดมิดปิดบัง หาดทรายก็มักจะหดหายกลายเป็นพื้นน้ำอันกว้างใหญ่ ดูน่าเกรงขาม ตามทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ก็ให้คำอธิบายไว้ว่า เป็นเพราะแรงดึงดูดของโลกกับดวงจันทร์ที่อยู่ใกล้กันมากกว่าดวงอาทิตย์ จึงทำให้น้ำขึ้นในตอนกลางคืน นั่นก็เป็นกฎเกณฑ์แห่งสิ่งสร้าง แต่สำหรับเราผู้ที่ยืนชื่นชมความงามของหาดทรายอยู่นี้ มีสิ่งที่ให้ตระหนักอยู่เสมอนั่นคือ ทุกสิ่งในโลกมีเวลาของมัน แต่เรามักใจร้อน ชอบเร่งรัด โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ได้ดังใจนึก ก็มักดิ้นรนจนล้นจนลาน เวลาของแต่ละอย่าง แต่ละคน แต่ละครั้งยาวนานไม่เหมือนกัน อยู่ที่ใจเรา เวลาของทุกข์มักยาวนานกว่าเวลาสุข
ใช่หรือไม่ เวลาเราพบกับความทุกข์เราก็ยิ่งทุกข์ขึ้น เพราะว่าใจเรามันเร่าร้อนอยากจะพ้นทุกข์ เหมือนกับวันไหนที่เรานอนไม่หลับ ก็มักจะดูนาฬิกาบ่อยๆ ดูเวลาว่ากี่โมงแล้ว ดูแล้วดูอีก และก็บ่นว่า ทำไม???  เวลาวันนี้มันเดินช้าจัง ทั้งๆที่เวลาก็เท่าเดิม ยามเราตกอยู่ในทุกข์ เราก็มักจมอยู่กับทุกข์  หากเราเรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์อย่างรู้เท่าทันอย่างรู้ตัว ไม่นานเราก็จะผ่านพ้นทุกข์ครั้งนี้ไปได้ แล้วก็เตรียมตัวเรากับทุกข์ครั้งใหม่ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เรามิอาจจะพ้นทุกข์ไปได้ เพียงแต่เราจะอยู่กับทุกข์ได้อย่างไรคือหัวใจของการดำรงชีวิตอยู่ต่างหาก
สิ่งหนึ่งที่มักจะวนเวียนอยู่ในห้วงแห่งความมืดมิดเสมอๆ นั่นคือ การที่เรามักคาดหวัง ยึดโยงอยู่กับผู้อื่น อยากจะให้คนนั้นเป็นอย่างใจนึก อยากจะให้คนนี้เป็นอย่างใจคิด พอไม่ได้เช่นนี้เช่นนั้น เราก็รู้สึกผิดหวัง ยิ่งในยุคที่เราต่างก็มีความเป็นตัวของตัวเองสูง การจะยอมกันมีน้อยลง อยู่กับตัวเองหลงกับตัวเอง จนลืมมองคนรอบข้าง แต่ชอบเรียกร้องความเห็นใจจากผู้อื่น ทุกวันนี้จึงเต็มไปด้วยความตรอมทุกข์ เราต้องหยุดที่จะเรียกร้องจากผู้อื่น หันกลับมาทำตัวเองให้หลุดจากกรอบที่เราครอบไว้ มีชีวิตเพื่อผู้อื่นโดยเฉพาะคนที่อยู่กับเราบ้าง ให้ความสำคัญต่อกัน ดูแลกายห่วงใยใจกันและกัน พร้อมที่จะยืนและรอเวลารุ่งเช้าด้วยกันบ้าง ชีวิตก็จะพบความสวยงามได้เช่นกัน อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปกับความมืดมิด จนชีวิตไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เช้าจะเป็นเช่นไร
และแล้วเช้าของวันใหม่ก็มาพร้อมกับความงามของหาดทรายอีกวัน แสงตะวันของวันใหม่ วันแห่งการเริ่มต้น ฉายแสงส่องเป็นประกาย กระทบแผ่นน้ำ หลังจากพ้นห้วงแห่งทุกข์ย่อมพบแรกแย้มของสุข ฟ้าหลังฝนงามเช่นใด หาดยามน้ำลงก็งดงามเช่นนั้น ยามช่วงที่ชีวิตมีสุขก็จงเก็บความงดงามเป็นพลังเพื่อเผชิญทุกข์ในครั้งต่อไป การก้าวหน้าของชีวิตเรานั้นส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการเดินทางผ่านทางทุกข์ เก็บไว้เป็นภูมิคุ้มกัน หาดทรายยามน้ำลดลงคงเหลือเศษซากที่ไหลมากับน้ำทะเลให้ได้เห็นบ้าง อาจจะเป็นเศษขยะ เศษไม้ แต่เมื่อเทียบกับหาดที่ยาวไกลแล้ว เศษซากเหล่านั้นก็ไม่มีความหมายอันใด ชีวิตเราล่ะยังคงปล่อยให้เศษซากขยะรกรุงรังในวันที่ผ่านพ้นทุกข์มาแล้วหรือ ลืมเลือนไป ให้อภัยใจเราก็สงบ...

ไม่มีความคิดเห็น: