วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แสงสว่างที่มุมเสา


แสงสว่างที่มุมเสา

ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ เราจะเห็นว่าในวัดของเรามีการเปลี่ยนแปลงไปมาก มีการปรับปรุงในหลายๆส่วนด้วยกัน โดยเฉพาะบรรยากาศในวัดของเรามีความสว่างมากขึ้น เนื่องมาจากคุณพ่อเจ้าวัดของเราได้ออกแบบและให้มีการติดไฟตามเสาเพิ่มขึ้น ช่วงแรกๆอาจจะยังไม่คุ้นเคย คุ้นชินกันสักเท่าไหร่ แต่เมื่อได้มาเข้าวัดนั่งมองไปมองมาก็อดที่จะชื่นชมในความมีศิลปะในการจัดแสงให้ออกมาได้อย่างสวยงามไม่ได้ แสง ศิลป์ และศรัทธา หากถูกจัดวางอย่างลงตัว สอดประสานกัน ทำให้วิหารแห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น เป็นที่ที่เราจะเข้ามาพบพระได้อย่างดียิ่งขึ้น
ศิลปะในการจัดแสงนี้มีความสำคัญยิ่งสำหรับการถ่ายภาพ ในงานภาพยนตร์ เพื่อก่อให้เกิดอารมณ์ร่วมไปตามเรื่องราว หลักการจัดแสงที่ดีไม่ใช่จัดให้เกิดความสว่างอย่างเดียว แต่ต้องจัดให้เกิดมิติ เกิดบรรยากาศ คุณพ่อได้ใช้ประสบการณ์ในการทำสื่อมาช่วยจัดระบบแสงในวัดได้อย่างลงตัว ทำให้วัดกลายเป็นวิหารที่น่าเข้ามาพักพิง ดื่มด่ำกับการสวดภาวนาโมทนาคุณพระเจ้า
ยิ่งเมื่อมองพินิจพิจารณาแสงสว่างที่มุมเสานั้นแล้ว ก็พบบทสอนใจเราได้เหมือนกัน การที่เราเป็นแสงสว่างนั้นไม่จำเป็นเลยที่จะส่องให้สว่างเจิดจ้าอย่างเดียว การเป็นแสงสว่างที่นุ่มนวลสวยงามก็เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งศรัทธาต่อผู้อื่นได้มิใช่น้อย หลายครั้งเราทำตัวเราให้เป็นแสงสว่างที่ส่องให้สว่างมากเกินไป แถมยังเป็นแสงสว่างเพื่อให้คนอื่นเห็นมากกว่าที่จะส่องนำคนอื่น ยิ่งวันนี้เรามีคนลักษณะแบบนี้มากขึ้น แทนที่สังคมที่เราอาศัยอยู่จะพบหนทางสว่างกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้แสบตา ตาพล่า ตามัว ใช่หรือไม่ บางครั้งเราเป็นแสงสว่างที่สว่างจ้าแบบไม่รู้ตัว ทำให้คนอื่นรำคาญ หรือกลายเป็นที่สะดุดไปเสียอย่างนั้น
ในสังคมที่เราเติบโตมา ด้วยการมีกรอบความคิดของตัวเองว่าถูก ว่าเก่ง ไม่ต้องพึ่งพาพึ่งพิงใคร ก็สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ จึงทำให้เกิดความเห็นแก่ตัวขั้นสูง เห็นแต่ความดีของตัวเอง รังเกียจความดีของผู้อื่น แท้จริงแล้ว สิ่งที่ทำมันไม่ใช่ความดีเลย การที่เราจะเป็นแสงสว่างได้นั้น เราก็ต้องเป็นคนดีก่อน คนดีที่ไม่มีความยโสหรือชอบโอ้อวด เป็นคนดีที่ไม่อวดดี สิ่งที่น่าห่วงในสังคมที่ตัวใครตัวมัน ต่างก็มีนิยามความดีของตัวเอง หลงลืมความดีส่วนรวม หรือไม่ก็ยังแยกแยะไม่ออกว่า ความดีกับความอวดดีคืออะไร มันปะปนกันไปหมด สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ การวัดความดีแบบค่านิยมด้านสถิติ ด้านสะสมยอดตัวเลขเป็นหลัก 
การปล่อยแสง เปล่งแสงสว่างนั้นหาใช่เพื่อตนเอง แสงที่สวยงามย่อมเป็นแสงที่ทำให้เกิดบรรยากาศรอบๆงดงาม ให้แสงที่นุ่มนวล ชวนทำตาม การทำดีนั้นก็ใช่เพื่อตนเอง การทำดีที่น่ายกย่องเป็นการทำดีเพื่อผู้อื่น ยอมสละตนเองเพื่อให้สิ่งรอบๆข้างเกิดความงดงาม การเสียสละที่ยิ่งใหญ่นั้นคือ การยอมพลีชีพเพื่อคนอื่น คนเหล่านี้จะมีเพียงสักกี่คนที่ทำได้ และทำให้โลกนี้ดีขึ้นจนกลายเป็นบุคคลที่ควรจดจำ ใช่...เรามิอาจจะทำสิ่งนั้นได้ทุกคน แต่เราก็เปล่งแสงออกจากตัวเราเพื่อสิ่งรอบข้างได้ด้วยการเสียสละน้ำใจเล็กๆน้อยๆ เสียสละเวลาส่วนตัวเพื่อลูกหลาน เสียสละความสนุกสนานในโลกเสมือนจริงในโซเชียลมีเดีย มาอยู่เคียงข้างพ่อแม่ พี่ๆน้องๆ บ้าง ให้เวลาพูดคุยกันฉันมิตรสหายแบบตาต่อตา หน้าต่อหน้า โดยไม่ต้องผ่านสื่อออนไลน์ ผ่านทางความจริงใจที่มีให้กันบ้าง
การทำความดีให้ถูกที่ถูกทางก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึง ไฟที่อยู่หัวเสาก็อย่าไปเป็นไฟที่ส่องถนนเลย เป็นไฟส่องถนนก็อย่าไปเป็นไฟแฟลชถ่ายภาพ แบบนี้เป็นต้น ความดีของเราต้องมีที่มีทางอย่างพอเหมาะพอเจาะ ใช่หรือไม่ การที่ถูกแสงส่องใส่หน้าใส่ตาแบบผิดจังหวะผิดประเภท ทำให้เราหน้ามืดตามัวได้ ฉันใดก็ฉันนั้น หากเราทำดีโดยไม่ได้ดูว่าเหมาะสมหรือไม่ ถูกจังหวะหรือเปล่า ก็จะทำให้เกิดผลลบกับการกระทำเช่นนั้น  สิ่งที่เราเห็นว่าดี แต่อาจจะไม่ดีพอสำหรับคนอื่น
การจัดแสงไฟในวัดให้สวยงามก็ต้องรู้จักการจัดวางมุม ให้ส่องไปทางไหน แสงสีแบบไหนจึงจะเหมาะกับวัสดุในวัด การจัดวางความดีในชีวิตก็เหมือนกัน ต้องเรียนรู้และมีศิลปะในการทำความดีด้วย เช่น การทำบุญให้ทานเพียงให้เงินอย่างเดียว ไม่นานคนที่ได้รับก็ใช้หมด แต่หากให้เงินไปแล้ว คนที่ได้รับไปนั้นนำไปก่อให้เกิดประโยชน์ หรือมีการสอนให้รู้จักทำมาหากิน ต่อยอดจากเงินที่ได้รับไป การทำบุญนั้นก็จะบรรลุผล

การอยู่กับคนกลุ่มใหญ่ ก็ต้องใช้ศิลปะในการดำเนินชีวิต เช่น การมาเข้าวัดวันอาทิตย์โดยคิดว่าเพียงเท่านี้ก็ได้บุญได้กุศลแล้ว แต่เมื่อนั่งอยู่ในวัดก็พูดคุย นั่งนินทาคนโน้นคนนี้ก็ไร้ประโยชน์ มาวัดแต่กลับมานั่งเล่นเฟสบุ๊ค แชทไลน์ เปิดเสียงโทร ก่อให้เกิดการสะดุดกับคนรอบข้าง ทำให้ผู้อื่นวอกแวกไม่มีสมาธิ เช่นนี้แล้วการเข้าวัดวันอาทิตย์ของเราจะมีประโยชน์อะไรเล่า แน่หล่ะ บางคนอาจจะอ้างว่า นี่มันเป็นเสรีภาพ เป็นสิทธิมนุษยชนนะ เสรีภาพของเรา แต่ไปกักขังหน่วงเหนียวเสรีภาพคนอื่นก็ไม่ใช่เสรีภาพที่แท้จริง สิทธิมนุษยชนจะมีได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องเคารพความเป็นคนของกันและกัน เคารพความสงบสุขของผู้อื่นด้วย
การที่เราจะเป็นแสงสว่างส่องโลกนั้น ในแง่มุมหนึ่งอย่าลืมว่าแสงนั้นต้องงดงามด้วย ต้องรู้จักจัดวางให้ถูกที่ถูกทาง ลองมองดูแสงสว่างที่เสาในวัดของเรา แล้วเราจะเข้าใจ แสง ศิลป์ ศรัทธานำมาซึ่งความดีที่งดงาม แล้ววิหารในตัวเราหล่ะ? ได้รับการปรับปรุง ให้เป็นเช่นนี้แล้วหรือยัง...

ไม่มีความคิดเห็น: