จากแดนอันตรายกลายเป็นดินแดนพระเมตตา
ตอนจบ
หนึ่งในที่ที่เราจะไปเยือน
นั่นคือ บ้านเกิดของบุญราศีสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ที่หมู่บ้านวาโดวิช
ใกล้ๆกับเมืองคราคูฟ หิมะตกตลอดทางจึงทำให้การเดินทางล่าช้า กว่าจะไปถึงเกินเวลาไปเป็นชั่วโมง
ไปถึงที่หมายก็เกือบๆบ่ายสองโมง จึงต้องใช้เวลารับประทานอาหารกันอย่างรวดเร็ว
เพื่อว่าจะได้มีเวลาเข้าไปเยี่ยมบ้านเกิดพระสันตะปาปา ภายในมีรูปภาพสมัยพระองค์ท่านยังเป็นเด็กๆ
น่ารักมาก... เครื่องใช้ไม้สอยของพระองค์ท่าน หลายคนมีโอกาสเขียนบันทึกการเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งนี้
ยามอยู่ภายในอาคารบ้านเกิดของพระองค์ท่าน ช่างอบอุ่นยิ่งนัก ได้ซึมซับกับผู้ที่พระเจ้าเลือกสรรมาอย่างเปี่ยมสุข
พระองค์ท่านผู้ทรงพลิกดินแดนถิ่นนี้ให้กลับมีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยจิตวิญาณแห่งความเชื่อ
และพลังศรัทธา ..
หลังจากบุญราศีสมเด็จพระสันตะปาปา
ยอห์น ปอล ที่ 2 ได้ดำรงตำแหน่งประมุขสูงสุดของพระศาสนาจักร โปแลนด์แดนแห่งสนธยา ก็เริ่มฉายแสงเจิดจ้าออกมาสู่ยังโลก
“พระสันตะปาปาโปแลนด์”
กระแสนี้เสริมส่งให้ประเทศแห่งนี้ที่เคยจมอยู่กับความแร้นแค้นแห่งสงคราม
จมอยู่ภายใต้อำนาจของผู้อื่น ได้รับการปลุกให้ตื่นขึ้นมา
โปแลนด์จึงเป็นที่รู้จักมักคุ้นมากขึ้น ประเทศที่มีสมเด็จพระสันตะปาปาผู้ใจดี
พระองค์ได้เปิดโลกกว้างเป็นผู้นำสันติ
ประเทศถิ่นเกิดของพระองค์จึงได้รับความชื่นชมยินดีไปด้วยเช่นกัน ปรากฏการณ์นี้เองที่ทำให้ประเทศโปแลนด์หลุดพ้นจากการครอบครองของอำนาจจากถิ่นอื่นโดยสิ้นเชิง
วัดวาอารามที่จากเคยเป็นที่เก็บสรรพาวุธ กลายเป็นสถานที่แห่งความศรัทธา เริ่มมีชีวิตแห่งความเชื่อ
ความศรัทธาของผู้คนเริ่มมีมากขึ้นๆจนบัดนี้กลายเป็นถิ่นศรัทธาที่สูงสุดแห่งหนึ่งในยุโรป
คำถามหนึ่งเกิดขึ้นว่า
“แล้วพระเจ้าจะไม่รู้เลยหรือว่า
สงครามโลกที่เข่นฆ่าชีวิตผู้คนในถิ่นแห่งนี้จะไม่เกิดขึ้น แล้วทำไมยังปล่อยให้เกิด” พระเจ้ารู้อยู่เต็มหัวใจ แต่ด้วยอิสรภาพที่พระองค์ให้มนุษย์ที่จะต้องตัดสินใจเอง
พระองค์ไม่ได้เผด็จการที่จะทำให้ทุกสิ่งเป็นไปตามที่พระองค์ทรงต้องการ เหมือนกับพ่อแม่ที่รู้ว่า
ถ้าลูกๆเดินไปตามทางนั้นจะไม่ดี แต่ก็ต้องยอมให้ลูกไปตามทางที่ลูกเลือก
เพื่อให้ลูกมีบทเรียนโดยตรง มีประสบการณ์ตรง เสริมความเข้มแข็งให้มากขึ้นบนหนทางชีวิต
ฉันใดก็ฉันนั้น
พระเจ้าต้องการให้เราเข้มแข็งเรียนรู้ที่จะเป็นผู้เจริญทางด้านจิตวิญญาณมากขึ้น
แต่ตรงกันข้ามลูกๆของพระองค์มักจะตกเป็นทาสของอำนาจฝ่ายผิดที่สิงมากับความโลภ
ความหลงอยู่เสมอๆ แต่พระองค์ก็มักเตรียมบางสิ่งบางอย่าง
เพื่อให้โลกเรามนุษย์ดำเนินต่อไปได้
ในถิ่นดินแดนอันตรายแห่งนี้
พระเจ้าได้เตรียมเส้นทางสายพระเมตตาของพระองค์มาตลอด ก่อนที่จะเกิดสงครามแห่งความบ้าในอำนาจ
ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน ยามที่มนุษยชาติต้องเผชิญกับวิกฤติทางจิตวิญญาณ สังคม
สงคราม และการเมืองนั้น พระเจ้าได้ทรงเมตตาส่งเหตุการณ์และบุคคล มากมายมาช่วยเหลือมนุษย์
เช่น พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาเยือนซิสเตอร์ชาว โปแลนด์ผู้หนึ่ง
ทรงเผยให้เราทราบถึงแผนการ แห่งความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ คนหลายล้านคนทั่วโลก
รักและรู้จักเธอในนาม นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ผู้ประกาศพระเมตตาของพระเจ้า
นักบุญโฟสตินา
เป็นองค์อุปถัมภ์ของวิญญาณที่น่าสงสาร เธอเกิดเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1905
ในประเทศโปแลนด์ เข้าอารามคณะพระแม่แห่งความเมตตา เมื่อวันที่ 1
สิงหาคม ค.ศ.1925
ในปีค.ศ.1931 ซิสเตอร์โฟสตินาเห็นพระเยซูเจ้าในความฝัน
ทรงบอกให้เธอวาดภาพตามที่เธอเห็นในความฝัน แต่เธอวาดไม่เป็น เพราะเธอเรียนจบแค่ ป.
3 ไม่มีความรู้ด้านศิลปะ ต่อมาเธอก็ให้จิตรกรวาดให้ตามที่เธอบอก
เธอได้เขียนสารแห่งพระเมตตา และบทสวดพระเมตตา
ซึ่งได้แพร่สะพัดออกไปในหมู่ผู้ประสบภัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ในขณะที่บุญราศีสมเด็จพระสันตะปาปา
ยอห์น ปอล ที่ 2 ทรงดำรงตำแหน่งพระคาร์ดินัลแห่งสังฆมณฑลคราคูฟนั้น
พระองค์ได้ทรงดำเนินการเพื่อทำให้เรื่องพระเมตตาของพระเยซูเจ้าต่อซิสเตอร์โฟสตินา ให้เป็นที่ยอมรับของพระศาสนจักร
แต่เรื่องก็เงียบหายไป เพราะต้องทรงดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปา จึงไม่มีเวลาสานต่อเรื่องนี้
จนต่อมาพระองค์ได้ทรงนำเรื่องนี้กลับมารื้อฟื้นใหม่ ให้การรับรองและสถาปนาซิสเตอร์โฟสตินาเป็นนักบุญ
เมื่อวันที่ 30 เมษายน ปี ค.ศ. 2000 พระองค์ทำให้โปแลนด์เป็นดินแดนแห่งพระเมตตา เพื่อบอกว่าในดินแดนที่อันตรายที่สุด
ย่อมมีพระเมตตาฉายแสงมาเสมอ
พระสันตะปาปา
ยอห์น ปอล ที่ 2 ทรงสิ้นพระชนม์คืนวันเสาร์คาบเกี่ยวกับวันอาทิตย์ฉลองพระเมตตา
ในสมัยที่พระองค์ยังทรงพระชนม์ ได้ประกาศให้วันอาทิตย์ที่ 2 ในเทศกาลปาสกาเป็นวันฉลองพระเมตตาของพระเยซูเจ้า
แก่นแท้ของสมณสมัยอันยาวนานของพระองค์ นั่นคือ พันธกิจทั้งหมดในการรับใช้พระเจ้าและมนุษย์รวมถึงสร้างสันติภาพให้กับโลก
ในบทเทศน์ที่พระองค์ทรงเปิดและเสกมหาวิหารพระเมตตาของพระเยซูที่เมืองคราคูฟ
ประเทศโปแลนด์ ในปี 2002 ทรงกล่าวว่า “นอกจากพระเมตตาของพระเจ้าแล้ว
ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดที่สามารถเป็นบ่อเกิดแห่งความหวังให้กับมนุษย์ชาติ”
และที่สุดการเดินทางแสวงบุญพระเมตตาก็สิ้นสุดลง
แต่พระเมตตาของพระเจ้าที่เราได้รับรู้นั้นไม่มีวันสิ้นสุด
ในระหว่างที่เดินกลับมาขึ้นรถ ท่ามกลางความหนาวมีคำถามเกิดขึ้นกับตัวเองว่า “แล้ววันนี้ เรา
เป็นดินแดนอันตรายหรือดินแดนพระเมตตาต่อผู้คนที่พบเจอ” ใช่...เราต้องพยายามสร้างให้เป็นดินแดนแห่งพระเมตตาเพื่อสันติสุขจะได้บังเกิดขึ้นกับตัวเราและคนรอบๆข้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น