รถไฟ ไอแดด ขบวนฝัน
ในช่วงที่เยาวชนวัดของเรามีการเข้าค่าย
เรียนรู้สัมผัสชีวิตกลุ่ม ชีวิตพระนั้น ได้มีโอกาสร่วมขบวนการเดินทางท่องเที่ยว
เพื่อเรียนรู้ชีวิตนอกห้องเรียน ไปในฐานะผู้ดูแล
เพื่อให้เดินทางอย่างปลอดภัยและได้รับประสบการณ์ บทเรียน
บทสอนผ่านการท่องเที่ยวในครั้งนี้ เมื่อได้รับภารกิจอันสำคัญยิ่งนี้มา
สิ่งที่ต้องทำคือ การวางแผน ทำความเข้าใจในสถานที่ที่จะต้องนำเยาวชนกลุ่มนี้ไป
และเพื่อเป็นการฝึกฝนความรับผิดชอบ การช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน
จึงได้มอบหมายให้รุ่นพี่ดูแลรุ่นน้อง หนึ่งต่อสองคน
เพื่อให้ทุกอย่างไม่เร่งรีบเกินไปนัก
รถไฟขบวนท่องเที่ยวกรุงเทพฯ-น้ำตกไทรโยคน้อยนี้ จะออกเดินทางในเวลา 06.30 น.
น้องๆต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อเตรียมตัว
ในฐานะผู้ดูแลจึงเดินทางไปยังหัวลำโพงก่อนที่กลุ่มเยาวชนจะเดินทางไปถึง
เพื่อสำรวจตรวจชานชาลาที่รถไฟขบวนนี้จอด
จากนั้นก็ออกมารอรับน้องๆเยาวชนที่เดินทางมาถึงหัวลำโพง โดยมีผู้ใหญ่ใจดีอาสาขับรถพาไปส่งอยู่หลายคัน
เมื่อทุกคนพร้อมเพรียง ก็เคลื่อนขบวนไปยังชานชาลาที่ 11 รถไฟติดเครื่องรออยู่แล้ว
กลุ่มเยาวชนของเราได้นั่งในโบกี้ที่3 โดยมีผู้ใหญ่ใจดีที่เป็นธุระจับจองตั๋วไว้ให้เรียบร้อย
น้องๆได้รับตั๋วคนละใบให้เก็บไว้ มีบางคนเสนอให้รวบรวมตั๋วไว้ที่คนๆเดียว
นี่...เป็นความต้องการให้น้องๆได้สัมผัสถึงการยื่นตั๋วเมื่อนายตั๋วมาตรวจ
มาเจาะตั๋ว และที่สำคัญเป็นการฝึกฝนความรับผิดชอบต่อตัวเองในเรื่องเล็กๆน้อยๆ
ซึ่งทุกคนก็ทำได้เป็นอย่างดี ผู้ใหญ่ใจดีที่ขับรถไปส่ง
ยังเดินมาให้กำลังใจถึงโบกี้ มีการอวยพรให้เดินทางปลอดภัย
เวลาที่รถจะออกล่าช้าไปเป็นสิบนาที
รถไฟก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะออก เด็กๆหลายคนเริ่มบ่น
บทเรียนเรื่องการรู้จักรอคอยเริ่มถูกทดสอบ ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เราจึงได้ยินเสียงผ่านลำโพงภายในสถานีหัวลำโพงว่าขบวนรถไฟของเราพร้อมแล้วที่จะออกจากสถานี
ทุกคนต่างดีใจ และแล้ว...เราก็ออกจากต้นทางเพื่อมุ่งยังจุดหมาย
ซึ่งตามข้อมูลแล้วในขบวนท่องเที่ยวนี้จะต้องแวะ 4 ที่ คือ นครปฐม
สะพานข้ามแม่น้ำแคว และปลายทางที่น้ำตกไทรโยคน้อย ส่วนที่สุดท้ายจะแวะตอนขากลับ
คือ สุสานทหารสัมพันธมิตร
และเพื่อให้การท่องเที่ยวนี้มีประโยชน์บ้างจึงได้เสนอแนะว่าให้ถ่ายภาพในแต่ละที่ที่แวะพร้อมทั้งเขียนเรื่องราวที่ประทับใจ
รถไฟวิ่งไปตามราง
ลมพัดปะทะใบหน้าพอให้เย็นสบายในอากาศยามเช้า จนกระทั่งเกือบ 08.00 น. เจ้าหน้าที่รถไฟมาขอตรวจตั๋วและประกาศว่า
“รถไฟจะพักให้ทานอาหารที่นครปฐม ตรงองค์พระให้เวลา 40
นาที สามารถเอาของไว้ในรถไฟได้ รับรองไม่มีขโมย เพราะเรามีกล้องวงจรปิดสนิท” ทุกคนถึงกับหัวเราะเฮลั่นในความขี้เล่นของเจ้าหน้าที่
เมื่อรถจอดจึงได้ทำการนัดหมายให้ทุกคนมาที่รถไฟก่อนสัก 5 นาที
และให้ทุกคนหาข้าวเช้ากิน หรือไม่ก็ซื้อขึ้นมากิน
ทุกคนก็แยกย้ายไปตามใจชอบเป็นที่น่าสังเกตว่า หลายคนตรงเข้าร้านสะดวกซื้อทันที
และเสียเวลารอจ่ายเงินจนเกือบหมดเวลา โดยไม่ได้เดินไปเยี่ยมชมบรรยากาศโดยรอบ ระบบสำเร็จรูปครอบงำวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่น้องๆส่วนใหญ่ต่างเดินไปสัมผัสบรรยากาศตลาดยามเช้า
ได้เข้าไปนั่งกินข้าวในร้านรวงข้างๆพระปฐมเจดีย์
เมื่ออิ่มหนำสำราญก็ขึ้นรถโดยพร้อมเพรียง เพื่อมุ่งสู่สถานีต่อไปด้วยกัน
ซึ่งกว่าจะถึงก็ใช้เวลาอีกชั่วโมงกว่า
เมื่อเติมพลังกันแล้ว ก็ต้องแสดงพลังคนหนุ่มสาวกันหน่อย
ด้วยการร้องเพลง ต่อเพลงกันไปมา แล้วเพื่อไม่ให้การอบรมที่ผ่านมาสูญเปล่า บทเรียนการเป็นผู้แพร่ธรรมนั้นเป็นได้ทุกที่
ใช้ความสามารถได้ทุกอย่าง เยาวชนวัดของเราแทนที่จะร้องเพลงต่อเพลงทั่วๆไป
กลายเป็นเพลงวัด เพลงพระ จนคนร่วมขบวนอื่นๆออกอาการงงๆในเพลงที่ได้ยิน ใช่หรือไม่
เสียงที่เปล่งออกไปนั้นมีคำว่า “พระเจ้า ความรัก ความเมตตา ความเชื่อ” เพียงเท่านี้
เรื่องราวของพระเจ้าก็ถูกประกาศออกไปแล้ว จนกระทั่งมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำแคว
ทุกคนจึงได้ลงไปเยี่ยมชมใช้เวลาเพียง 20 นาที หนึ่งในเยาวชนได้ถ่ายภาพนักท่องเที่ยวเดินเที่ยวชมสะพาน
และเขียนข้อความว่า “สถานที่ท่องเที่ยว ที่มีคนมาชม
เปรียบเสมือนเยาวชนของเรา ถ้ามีแค่ชื่อกลุ่ม แต่ไม่มีสมาชิก ไม่มีผลงาน
ไม่มีคนสนใจ ก็จะเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่มีใครไป”
ใช่หรือไม่ น้องเยาวชนคนอนาคตของวันรุ่ง มีความคิดความอ่าน และมีสำนึกถึงการมีส่วนร่วมที่ยอดเยี่ยม
จากสะพานข้ามแม่น้ำแควรถไฟจะวิ่งผ่านหน้าผา
เพราะนี่เป็นเส้นทางรถไฟสายมรณะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้านหนึ่งของรถไฟเราจะเห็นแม่น้ำขนานไปกับรางรถไฟอย่างสวยงาม
อีกด้านหนึ่งติดภูเขาเพียงแค่เอื้อมมือไปแตะก็ถึงแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย
ได้ทำการตกลงข้อห้ามเด็ดขาดว่าไม่ให้เอื้อมมือออกจากตัวรถ
แล้วความสวยงามความตื่นตาตื่นใจก็ผ่านไป มุ่งหน้าเดินทางสู่น้ำตก
ที่นี่เรามีเวลาประมาณสองชั่วโมงกว่าๆสำหรับคนที่จะลงเล่นน้ำที่ไม่มีน้ำจะให้เล่น
และด้วยว่าต้องนั่งรถสองแถวไปอีกต่อหนึ่งจึงจะถึงน้ำตกเวลาก็เหลือน้อยเต็มที
ฉะนั้นแล้วเวลาที่น้ำตกจึงเป็นเพียงการทานอาหารเที่ยงริมธารน้ำตกที่ไหลระริน
ขากลับจึงเป็นช่วงเวลาบ่ายๆไอแดดร้อนที่พัดผ่านมากับสายลมปะทะใบหน้า
ทำให้เนื้อตัวเหนียวเหนอะไปหมด
แต่เด็กเยาวชนพลังเหลือก็ผลัดกันนำเกมเล่นบนรถไฟอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
สุดท้ายที่สุสานทหารสัมพันธมิตร
ได้ร่วมกันภาวนาอุทิศแด่ดวงวิญญาณผู้ที่ต้องมาเสียชีวิตในสงคราม
ความเหน็ดเหนื่อยล้าจากไอแดด จากความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของทุกคน
ถูกบรรเทาด้วยความสดใสและร่าเริงของเยาวชน ถ้าเปรียบไปแล้วขบวนรถไฟขบวนนี้เป็นขบวนที่บรรทุกความฝันของเขาเหล่านั้น
และเพื่อให้ฝันบรรลุชัย เราผู้ใหญ่ ผู้ดูแลย่อมต้องช่วยกันประคับประคองให้พวกเขาไปถึงที่หมายให้ได้
เป็นผู้ประกาศความรักของพระเจ้าอย่างมีคุณค่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น