วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

รถไฟ ไอแดด ขบวนฝัน


รถไฟ ไอแดด ขบวนฝัน
ในช่วงที่เยาวชนวัดของเรามีการเข้าค่าย เรียนรู้สัมผัสชีวิตกลุ่ม ชีวิตพระนั้น ได้มีโอกาสร่วมขบวนการเดินทางท่องเที่ยว เพื่อเรียนรู้ชีวิตนอกห้องเรียน ไปในฐานะผู้ดูแล เพื่อให้เดินทางอย่างปลอดภัยและได้รับประสบการณ์ บทเรียน บทสอนผ่านการท่องเที่ยวในครั้งนี้ เมื่อได้รับภารกิจอันสำคัญยิ่งนี้มา สิ่งที่ต้องทำคือ การวางแผน ทำความเข้าใจในสถานที่ที่จะต้องนำเยาวชนกลุ่มนี้ไป และเพื่อเป็นการฝึกฝนความรับผิดชอบ การช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน จึงได้มอบหมายให้รุ่นพี่ดูแลรุ่นน้อง หนึ่งต่อสองคน

 เพื่อให้ทุกอย่างไม่เร่งรีบเกินไปนัก รถไฟขบวนท่องเที่ยวกรุงเทพฯ-น้ำตกไทรโยคน้อยนี้ จะออกเดินทางในเวลา 06.30 น. น้องๆต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อเตรียมตัว ในฐานะผู้ดูแลจึงเดินทางไปยังหัวลำโพงก่อนที่กลุ่มเยาวชนจะเดินทางไปถึง เพื่อสำรวจตรวจชานชาลาที่รถไฟขบวนนี้จอด จากนั้นก็ออกมารอรับน้องๆเยาวชนที่เดินทางมาถึงหัวลำโพง โดยมีผู้ใหญ่ใจดีอาสาขับรถพาไปส่งอยู่หลายคัน เมื่อทุกคนพร้อมเพรียง ก็เคลื่อนขบวนไปยังชานชาลาที่ 11 รถไฟติดเครื่องรออยู่แล้ว กลุ่มเยาวชนของเราได้นั่งในโบกี้ที่3 โดยมีผู้ใหญ่ใจดีที่เป็นธุระจับจองตั๋วไว้ให้เรียบร้อย น้องๆได้รับตั๋วคนละใบให้เก็บไว้ มีบางคนเสนอให้รวบรวมตั๋วไว้ที่คนๆเดียว นี่...เป็นความต้องการให้น้องๆได้สัมผัสถึงการยื่นตั๋วเมื่อนายตั๋วมาตรวจ มาเจาะตั๋ว และที่สำคัญเป็นการฝึกฝนความรับผิดชอบต่อตัวเองในเรื่องเล็กๆน้อยๆ ซึ่งทุกคนก็ทำได้เป็นอย่างดี ผู้ใหญ่ใจดีที่ขับรถไปส่ง ยังเดินมาให้กำลังใจถึงโบกี้ มีการอวยพรให้เดินทางปลอดภัย 
เวลาที่รถจะออกล่าช้าไปเป็นสิบนาที รถไฟก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะออก เด็กๆหลายคนเริ่มบ่น บทเรียนเรื่องการรู้จักรอคอยเริ่มถูกทดสอบ ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เราจึงได้ยินเสียงผ่านลำโพงภายในสถานีหัวลำโพงว่าขบวนรถไฟของเราพร้อมแล้วที่จะออกจากสถานี ทุกคนต่างดีใจ และแล้ว...เราก็ออกจากต้นทางเพื่อมุ่งยังจุดหมาย ซึ่งตามข้อมูลแล้วในขบวนท่องเที่ยวนี้จะต้องแวะ 4 ที่ คือ นครปฐม สะพานข้ามแม่น้ำแคว และปลายทางที่น้ำตกไทรโยคน้อย ส่วนที่สุดท้ายจะแวะตอนขากลับ คือ สุสานทหารสัมพันธมิตร และเพื่อให้การท่องเที่ยวนี้มีประโยชน์บ้างจึงได้เสนอแนะว่าให้ถ่ายภาพในแต่ละที่ที่แวะพร้อมทั้งเขียนเรื่องราวที่ประทับใจ 
รถไฟวิ่งไปตามราง ลมพัดปะทะใบหน้าพอให้เย็นสบายในอากาศยามเช้า จนกระทั่งเกือบ 08.00 น. เจ้าหน้าที่รถไฟมาขอตรวจตั๋วและประกาศว่า รถไฟจะพักให้ทานอาหารที่นครปฐม ตรงองค์พระให้เวลา 40 นาที สามารถเอาของไว้ในรถไฟได้ รับรองไม่มีขโมย เพราะเรามีกล้องวงจรปิดสนิท ทุกคนถึงกับหัวเราะเฮลั่นในความขี้เล่นของเจ้าหน้าที่ เมื่อรถจอดจึงได้ทำการนัดหมายให้ทุกคนมาที่รถไฟก่อนสัก 5 นาที และให้ทุกคนหาข้าวเช้ากิน หรือไม่ก็ซื้อขึ้นมากิน ทุกคนก็แยกย้ายไปตามใจชอบเป็นที่น่าสังเกตว่า หลายคนตรงเข้าร้านสะดวกซื้อทันที และเสียเวลารอจ่ายเงินจนเกือบหมดเวลา โดยไม่ได้เดินไปเยี่ยมชมบรรยากาศโดยรอบ ระบบสำเร็จรูปครอบงำวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่น้องๆส่วนใหญ่ต่างเดินไปสัมผัสบรรยากาศตลาดยามเช้า ได้เข้าไปนั่งกินข้าวในร้านรวงข้างๆพระปฐมเจดีย์ เมื่ออิ่มหนำสำราญก็ขึ้นรถโดยพร้อมเพรียง เพื่อมุ่งสู่สถานีต่อไปด้วยกัน ซึ่งกว่าจะถึงก็ใช้เวลาอีกชั่วโมงกว่า
เมื่อเติมพลังกันแล้ว ก็ต้องแสดงพลังคนหนุ่มสาวกันหน่อย ด้วยการร้องเพลง ต่อเพลงกันไปมา แล้วเพื่อไม่ให้การอบรมที่ผ่านมาสูญเปล่า บทเรียนการเป็นผู้แพร่ธรรมนั้นเป็นได้ทุกที่ ใช้ความสามารถได้ทุกอย่าง เยาวชนวัดของเราแทนที่จะร้องเพลงต่อเพลงทั่วๆไป กลายเป็นเพลงวัด เพลงพระ จนคนร่วมขบวนอื่นๆออกอาการงงๆในเพลงที่ได้ยิน ใช่หรือไม่ เสียงที่เปล่งออกไปนั้นมีคำว่า พระเจ้า ความรัก ความเมตตา ความเชื่อ เพียงเท่านี้ เรื่องราวของพระเจ้าก็ถูกประกาศออกไปแล้ว จนกระทั่งมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำแคว ทุกคนจึงได้ลงไปเยี่ยมชมใช้เวลาเพียง 20 นาที หนึ่งในเยาวชนได้ถ่ายภาพนักท่องเที่ยวเดินเที่ยวชมสะพาน และเขียนข้อความว่า สถานที่ท่องเที่ยว ที่มีคนมาชม เปรียบเสมือนเยาวชนของเรา ถ้ามีแค่ชื่อกลุ่ม แต่ไม่มีสมาชิก ไม่มีผลงาน ไม่มีคนสนใจ ก็จะเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่มีใครไป ใช่หรือไม่ น้องเยาวชนคนอนาคตของวันรุ่ง มีความคิดความอ่าน และมีสำนึกถึงการมีส่วนร่วมที่ยอดเยี่ยม
จากสะพานข้ามแม่น้ำแควรถไฟจะวิ่งผ่านหน้าผา เพราะนี่เป็นเส้นทางรถไฟสายมรณะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้านหนึ่งของรถไฟเราจะเห็นแม่น้ำขนานไปกับรางรถไฟอย่างสวยงาม อีกด้านหนึ่งติดภูเขาเพียงแค่เอื้อมมือไปแตะก็ถึงแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย ได้ทำการตกลงข้อห้ามเด็ดขาดว่าไม่ให้เอื้อมมือออกจากตัวรถ แล้วความสวยงามความตื่นตาตื่นใจก็ผ่านไป มุ่งหน้าเดินทางสู่น้ำตก ที่นี่เรามีเวลาประมาณสองชั่วโมงกว่าๆสำหรับคนที่จะลงเล่นน้ำที่ไม่มีน้ำจะให้เล่น และด้วยว่าต้องนั่งรถสองแถวไปอีกต่อหนึ่งจึงจะถึงน้ำตกเวลาก็เหลือน้อยเต็มที ฉะนั้นแล้วเวลาที่น้ำตกจึงเป็นเพียงการทานอาหารเที่ยงริมธารน้ำตกที่ไหลระริน 

ขากลับจึงเป็นช่วงเวลาบ่ายๆไอแดดร้อนที่พัดผ่านมากับสายลมปะทะใบหน้า ทำให้เนื้อตัวเหนียวเหนอะไปหมด แต่เด็กเยาวชนพลังเหลือก็ผลัดกันนำเกมเล่นบนรถไฟอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สุดท้ายที่สุสานทหารสัมพันธมิตร ได้ร่วมกันภาวนาอุทิศแด่ดวงวิญญาณผู้ที่ต้องมาเสียชีวิตในสงคราม ความเหน็ดเหนื่อยล้าจากไอแดด จากความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของทุกคน ถูกบรรเทาด้วยความสดใสและร่าเริงของเยาวชน ถ้าเปรียบไปแล้วขบวนรถไฟขบวนนี้เป็นขบวนที่บรรทุกความฝันของเขาเหล่านั้น และเพื่อให้ฝันบรรลุชัย เราผู้ใหญ่ ผู้ดูแลย่อมต้องช่วยกันประคับประคองให้พวกเขาไปถึงที่หมายให้ได้ เป็นผู้ประกาศความรักของพระเจ้าอย่างมีคุณค่า

ไม่มีความคิดเห็น: