วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เกลือ...เค็ม แต่ดี ไม่ใช่ดี...แต่เค็ม


เกลือ...เค็ม แต่ดี ไม่ใช่ดี...แต่เค็ม
ในขณะที่ประเทศไทยของเรากำลังก้าวสู่ยุคดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ มีทั้ง 3Gใช้ ระบบโทรทัศน์ก็กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบดิจิตอล มีการกำหนดราคาประมูล ช่อง จำนวนเงินมหาศาลกำลังถูกใช้เพื่อการเปลี่ยนผ่านนี้ หลายๆบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ ต่างก็เตรียมเข้าเป็นเจ้าของช่อง ทำให้คิดถึงคำกล่าวที่ว่า ยุคนี้เป็นยุคสื่อสารครองเมือง ใครมีสื่อในมือย่อมมีอำนาจ ทำให้หลายคนอยากมีสื่อไว้ครอบครอง
โลกของเราก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ในสมัยหนึ่งใครมีกองกำลังคน มีอาวุธยุทโธปกรณ์มากก็ครองโลก ไล่ล่าอาณานิคม หาเมืองขึ้นเข้าครอบครอง มาอีกสมัยหนึ่งใครมีเงินมีทองคำมาก ก็เป็นผู้มีอำนาจสามารถกำหนดทิศทางตลาดทุน เข้าครอบครองโลกได้ ยุคปัจจุบันคือยุคใครมีสื่อทันสมัย โลกก็อยู่ในกำมือ ก็ครองโลกได้อีกเช่นกัน และมียุคๆหนึ่ง ใครที่ได้ครอบครองการทำเหมืองเกลือจะกลายเป็นผู้คุมอำนาจ มีอิทธิพลต่อระบบการค้าขายของโลก
หน้าทางเข้าเหมืองเกลือ
เมื่อถึงตรงนี้ ทำให้อดคิดถึงการเดินทางไปเยือนถิ่นหนาว และเป็นสิ่งที่น่ายินดีที่เราได้มีโอกาสเยี่ยมชมสถานที่แห่งหนึ่ง หลังจากไปแสวงบุญพระเมตตาและเยี่ยมเยือนบ้านของบุญราศีสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 มาแล้ว นั่นก็ คือ เหมืองเกลือที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของโปแลนด์ เป็นเหมืองใต้ดินที่มหัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จนทำให้รัฐบาลโปแลนด์ ประกาศให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเมื่อปี ค.ศ. 1994 และนอกจากนี้เหมืองเกลือในเมืองเวียลิซก้า (Wieliczka) ถือว่าจัดเป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติขององค์การยูเนสโก้อีกด้วย ภายในเหมืองจะมีลิฟท์ซึ่งจะลงลึกถึงชั้นใต้ดินของเหมือง โดยชั้นที่ลึกที่สุดจะลึกถึง 327 เมตร ที่มาของเหมืองนี้เกิดจาก ในสมัยก่อนเกลือนั้นเกิดตามธรรมชาติมาประมาณ 20 ล้านปี เกลือมีค่าดุจทองคำ เพราะใช้ในการถนอมรักษาอาหาร
             ภายในเหมืองเก่าแก่ชั้นใต้ดินจะประกอบไปด้วย แกลอรี่และห้องต่างๆ ซึ่งสร้างและแกะสลักจากเกลือทั้งหมด ความงามของทะเลเกลือใต้พิภพ ซึ่งจะทำให้เหมืองแห่งนี้กลายเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยว เหมืองนี้ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 และผลิตเกลือแกง จนกระทั่งปี ค.ศ. 2007 นับได้ว่าเป็นเหมืองเกลือที่เก่าแก่ที่สุดเหมืองหนึ่งในโลกที่ยังคงดำเนินการอยู่ในสมัยนั้น แต่อย่างไรก็ตาม การผลิตเกลือเชิงพาณิชย์ได้ปิดดำเนินการมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1996 เพราะไม่คุ้มทุนและเกิดน้ำท่วมเหมือง
ค่าธรรมเนียมการเข้าชมเหมืองเกลือพร้อมด้วยไกด์ภาษาอังกฤษจะตกอยู่ที่คนละประมาณ 600-700 บาท และถ้าต้องการถ่ายภาพภายในเหมืองก็ต้องจ่ายเพิ่มอีกคนละประมาณ 80-100 บาท การเข้าชมจะมีเป็นรอบๆ ในทุกชั่วโมง คณะของเราเดินทางมาถึงก่อนเวลานัดหมายนิดหน่อย จึงมีเวลาสัมผัสกับความหนาวเย็นหน้าทางเข้าเหมืองท่ามกลางหิมะ จากนั้นเราก็ได้รับเครื่องรับฟังคนละเครื่อง และจัดแถวเพื่อเข้าลิฟท์กลุ่มละ 9 คน ซึ่งก็อัดแน่นพอสมควร เราลงไปในความลึกเพียงที่ 64 เมตร  (ความลึกทั้งหมด 327 เมตร) ระยะทางในการเดินชมในเหมืองทั้งหมดเป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร
เหมืองอันใหญ่โตแห่งนี้เคยถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหาร การผลิตอาวุธและกำลังบำรุง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง โดยกองทัพเยอรมันอีกด้วยเนื่องจากชาวเหมืองต้องทำงานและอาศัยในเหมืองเป็นระยะเวลานาน เราจะเห็นศิลปะแขนงต่างๆ ของชาวเหมือง ที่สะท้อนความเชื่อและสิ่งที่เป็นความสำคัญของชาวเหมืองปรากฏในรูปแบบของศิลปะอยู่ตลอดทาง ภายในมีวัดน้อย Saint Kinga ที่มีความงดงาม ทุกอย่างในเหมืองนี้จะทำด้วยเกลือ
ภายในเหมือง
เอกสารนำเที่ยวเหมืองเกลือ บอกว่า บริเวณนี้เมื่อ 20 ล้านปีที่แล้วเคยเป็นก้นทะเลตื้นๆ ที่เป็นแอ่งเกลือ ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้จะไม่มีทะเลและหาดทรายให้เห็นแล้วก็ตามแต่พยานที่บอกว่าที่นี่เคยเป็นทะเลมาก่อน คือ การที่มีเกลือจำนวนมากอยู่ตามพื้นและใต้ดิน
ประวัติศาสตร์ทั้งหมดก่อนศตวรรษที่ยี่สิบ จึงเป็นเรื่องราวของการค้นหาเกลือที่เต็มไปด้วยอันตราย การค้าเกลือ และการต่อสู้แย่งชิงเกลือ เป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่เกลือเป็นตัวแทนของความมั่งคั่ง พ่อค้าเกลือในแคริบเบียนจะเก็บเกลือไว้ในห้องใต้ดิน ชาวจีน ชาวโรมัน ชาวฝรั่งเศส  ชาวเวนิซ ตระกูลฮัพเบิร์ก และรัฐบาลอื่นๆ อีกมากมายได้เก็บภาษีเกลือเพื่อหาเงินในการทำสงคราม มีการจ่ายเกลือเป็นค่าจ้างให้แก่ทหาร และบางครั้งก็ให้แก่คนงานด้วย 
ระหว่างทางคุณพ่อเฉลิม กิจมงคล หนึ่งในผู้ร่วมคณะได้แบ่งปันไว้ว่า ในสมัยพระเยซูเจ้าเกลือต้องมีความสำคัญยิ่ง เกลือจึงเป็นสิ่งแรกที่พระองค์ทรงเอ่ยถึงในบทสอนของพระองค์ หลังจากที่พระองค์ทรงเกริ่นนำด้วยบทเทศน์บนภูเขาเรื่องความสุขแท้ (มธ 5 : 1-16) พระองค์ตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นเกลือดองแผ่นดินก่อนที่จะตรัสว่า ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างส่องโลกเสียด้วย
โบส์ถในเหมือง
โลกสังคม ชุมชนและครอบครัวของเราในปัจจุบันกำลังถูกดึงเข้าไปในวังวนของความเน่า จิตใจของผู้คนก็ยิ่งเน่า เราต้องทำตนมีค่าเช่นเกลือ ช่วยกันป้องกันและรักษาทุกชีวิตบนแผ่นดินมิให้เน่าเสียไปมากกว่านี้ โดยไม่ใช่ดองความดีของเราไว้เพียงเพื่อตัวเอง เกลือมีค่าที่ความเค็มที่นำไปถนอมสิ่งอื่นให้ยืนยาว แล้วเราเล่ามีค่าที่ความดีเพื่อคนอื่นมากน้อยเพียงใด...

ไม่มีความคิดเห็น: