วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

ชัยชนะกลางเปลวแดด


ชัยชนะกลางเปลวแดดและ
กำลังใจในวันที่เหนื่อยหน่าย
            เหมือนตกอยู่ในสภาวะถูกย่างด้วยแดดกลางเมืองหลวง จนออกอาการเหนื่อยหน่าย กับการเคลื่อนไหว เคลื่อนย้ายไปไหนมาไหน แต่ด้วยความจำเป็นของวิถีชีวิตที่ต้องออกไปซื้อกิน พบปะผู้คน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องจำใจเดินฝ่าไอแดด..
อากาศที่ร้อนเหลือของช่วงนี้ที่ทำให้หลายคนบ่นว่า มันร้อนได้ใจจริงๆ ร้อนจนกระทั่งผ้าที่ตากไว้ยังไหม้ !!! ร้อนๆแบบนี้ทำให้ไม่อยากจะก้าวขาออกจากร่มเงาที่พักพิง ไม่อยากจะออกไปเดินท่ามกลางเปลวแดดที่แผดเผาดังไฟ ร้อนจนกระทั่งนั่งคิดเรื่องที่จะขีดเขียนไม่ออก คิดไปคิดมาก็เขียนเรื่องร้อนๆนี่แหละ..
อากาศร้อนมากๆทุกคนคงไม่ชอบ แต่ก็แปลก...แสงแดดยามเช้าและยามเย็น ทุกคนมักจะชื่นชม ทั้งๆที่แสงแดดที่แผดร้อนนี้ก็มาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน เราไม่ชอบเพราะแสงมันแรงไป ก่อให้เกิดความแสบร้อนระคายผิว ไม่สบายตัวพาหัวใจหงุดหงิด จิตคิดร้ายก็ปรากฏขึ้น ส่วนที่เราชอบแสงแห่งวันใหม่และแสงอ้อยอิ่งของยามเย็นเพราะมีแต่ความอบอุ่น คนเราก็เช่นกัน ต่างก็เป็นแหล่งกำเนิดของแสงแห่งตน หากแสงของเรามันร้อนแรงเกินไป ก็จะทำให้คนอื่นต้องทุกข์ทน คนแบบนี้ก็ย่อมมีคนที่ไม่ชอบและไม่เป็นที่ปรารถนา แต่ถ้าเราเป็นคนที่อบอุ่น ย่อมเป็นที่เฝ้ามองหมายและปรารถนาจะคบหาสมาคมด้วย นี่แหละเป็นทุกข์ที่เหมือนๆกันของคนเรา ซึ่งในบางครั้งเราก็ไม่รู้ตัวว่า ในสภาวะนั้นเราเป็นแสงแบบไหน เมื่อเราไม่รู้ตัว แต่เรากลับไปรู้ว่าคนอื่นเขาพูดถึงเราอย่างไร คราวนี้แหละความทุกข์ก้อนโตก็วิ่งเข้าใส่ ทำให้เกิดความไม่เป็นสุข ความโกรธ เกลียด เคียดแค้น ชิงชัง ประดังมา จนทำให้แต่ละวันเป็นเวลาที่เหนื่อยหน่ายอย่างที่สุด
สังเกตไหมในวันที่เหนื่อยๆ เหมือนตกอยู่ในสภาวการณ์ที่แบกรับตลอดเวลา  มีแต่แรงบีบรัด ความท้อแท้ก็ค่อยๆผุดขึ้น เครียดๆและล่องลอย ไร้ตัวตน  ไม่มีคนเหลือบแล  ความคิดที่จะออกแสวงหากำลังใจก็เกิดขึ้น แต่เมื่อมองไปไร้คนสนใจ คิดอยู่คนเดียว เลี้ยวลดคดเคี้ยวกลับมายังตัวตน ทำให้ความร้อนแรงในอารมณ์เริ่มพลุ่งพล่าน วนเวียนอยู่กับความคิดเดิม อยู่กับตัวตน หาได้เหลือบมองไปยังสภาวะรอบข้าง
ใช่หรือไม่ ในวันที่เราทุกข์ร้อน หรือร้อนจนแทบจะบ้า ในโลกนี้อาจมีชายคนหนึ่งกับใช้ชีวิตกลางเปลวแดด ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือเดินเข็นผลไม้ขาย ถีบสามล้อรอรับคนโดยสาร ยังมีอีกหลายคนนั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถ ในช่วงที่รถติดกลางแดดโดยที่รถไม่ขยับเขยื้อนเลย อาจจะมีบางคนแบกหามอิฐ หิน ปูน ทราย เพื่อสร้างตึกราม คฤหาสน์ใหญ่โต กำลังหลั่งไหลออกมาพร้อมกับเหงื่อที่ชุ่มอยู่บนเสื้อ ด้วยแรงจากสองขาและสองแขน ที่พาชีวิตเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเพื่อแสวงหาโอกาส ต้องสร้างขึ้นด้วยแรงกาย โอกาสที่ยังไม่แน่นอนว่าจะได้เจอ หนึ่งลมหายใจในเปลวแดด ที่น่าจะลำบากและสาหัสกว่าเราเป็นไหนๆ
เราผู้เสพติดความเย็นแต่มักใจร้อน ไม่ค่อยอดทนอดกลั้น วิ่งหาความสบายด้วยเครื่องอำนวยสมัยใหม่ แทนที่ผู้คนเยี่ยงนี้จะมีความสุข ไร้ทุกข์ แต่หาไม่เลย มนุษย์ผู้เสพสุขกับเครื่องอำนวยทั้งหลายทั้งปวง กลับกลายเป็นคนที่เหนื่อยหน่ายง่าย และยังคงเที่ยวแสวงหากำลังใจที่ไม่รู้จักพออยู่ตลอดเวลา เหมือนเด็กน้อยที่ต้องให้พ่อแม่ตามใจอยู่เนืองนิตย์ ไม่กล้าเดินออกแดดแล้วจะรู้ว่าจะอยู่กับแดดได้อย่างไร เราจะแอบหลบซ่อนอยู่ในร่มเงาตลอดชีวิตหรือ บางทีการที่จะได้ชื่นชมแสงแรกแสงสุดท้ายที่สวยงาม ก็ต้องยอมพร้อมใจที่จะทนอยู่กับแสงที่มืดหรือแสงที่ร้อนแรงเสียก่อน

เราเดินทางผ่านช่วงเวลามหาพรต ผ่านสัปดาห์มหามรมาน ผ่านพิธีกรรมมากมาย เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง เราได้นำสิ่งเหล่านั้นมาเสริมเพิ่มเติมพลังชีวิตเราให้ก้าวหน้าเดินทางต่อไปมากน้อยแค่ไหน หรือเราคงปล่อยผ่านไปอีกปีหนึ่ง เฉกเช่นเดียวกับการบ่นว่าอากาศร้อนขึ้นทุกๆวัน แต่เราไม่ได้ทำอะไรให้โลกนี้เย็นเลย หรือไม่เคยที่จะเรียนรู้อยู่กับแสงแดดอย่างผู้มีปรีชาญาณ เมื่อเราไม่สร้างพลัง กำลังใจก็หมดง่าย ความเหน็ดเหนื่อยก็จะกลายเป็นเงาติดตามตัวเราตลอดไป
สิ่งที่เราต้องนำมาทบทวนเสมอๆ นั่นคือ ในสภาวะที่ร้อนรุ่มกลุ้มใจ กำลังใจในยามเหน็ดเหนื่อยย่อมเป็นสิ่งจำเป็น มีสิ่งหนึ่งซึ่งเราอาจจะมองข้ามไป สิ่งที่ให้กำลังใจเราได้เสมอนั่นคือ กางเขน ที่ตรึงแขวนองค์พระเยซูเจ้า ใช่หรือไม่...นั่นคือ ชัยชนะท่ามกลางเปลวแดดตอนสามโมงเย็น เราลองคิดพิจารณากลับไปตอนที่พระองค์กำลังแบกกางเขนเพื่อไปยังเนินเขานั้น คงเป็นเวลาเที่ยงๆ อากาศที่ร้อนบนภูเขา รองเท้าคงจะไม่มีให้สวมใส่ ไม้กางเขนที่กดทับ ทั้งแบกทั้งเดิน ทั้งล้มแล้วลุกถูกกระชากลากถูนับครั้งไม่ถ้วน แต่พระองค์ต้องผ่านจุดนั้นไปให้ได้ ต้องก้าวข้ามผ่านทางทุกข์ ในขณะนั้นเล่า อะไรคือกำลังใจให้พระองค์อดทนก้าวไป ใช่เพื่อเราหรือไม่ และเมื่อพ้นผ่าน ความสุขย่อมเกิดขึ้น ความสุขบนกางเขนคือการกางแขนให้เราทุกคนเข้าไปเสวยสุขกับพระองค์นั่นเอง
ปัสกาที่แท้จริงมีให้เห็นในชีวิตที่ทุกข์ทนของเรา เราก้าวข้ามผ่านมันพ้นไหม เมื่อผ่านแล้วได้กลับกลายเป็นความอบอุ่นให้ใครบ้าง หรือเราไม่กล้าพอที่จะออกมาเผชิญความเป็นจริง กลัวจะก้าวไม่ผ่านความทุกข์นั้น เลยนั่งอมทุกข์จมทุกข์อย่างไม่มีวันฟื้นคืนมาได้ เราพยายามมองพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขนนั้น นั่นคือ กำลังใจให้เราในวันเหน็ดเหนื่อย แล้วเราจะได้รู้ว่าความยินดี ความสุข ของการก้าวข้ามผ่านทุกข์นั้นงดงามเพียงใด สุขสันต์วันปัสกาครับ...

ไม่มีความคิดเห็น: