ควันขาวในความมืด
ดูเหมือนว่าการที่เรามีพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่
พระสันตะปาปา ฟรังซิส นั้นได้ทำให้คนทั้งโลกหยุดยืนตะลึงงันไปพักหนึ่ง
เพราะเป็นสิ่งที่เหนือการคาดเดา เหนือคำวิเคราะห์วิจารณ์อย่างสุดขั้ว
พลิกความคาดหวังของคนเป็นจำนวนมากที่ถูกกระแสชักนำ
และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันพระองค์ก็ได้เข้าไปอยู่ในใจของคนทั่วทั้งโลก
เนื่องด้วยการปฏิบัติตัวอย่างในความสมถะ ความเรียบง่าย ความสุภาพถ่อมตน
และการเข้าถึงใกล้ชิดประชาชน โดยยึดมั่นในหลักการที่พระองค์ทรงปฏิบัติมาทั้งชีวิต
ที่ไร้การเสแสร้งแกล้งทำ ความจริงใจของพระองค์ที่แสดงถึงความรักของพระเจ้ากำลังแผ่ออกไปให้ทั่วโลกให้เห็นเป็นประจักษ์พยาน
อดที่จะคิดถึงคืนนั้นไม่ได้ เวลาที่วาติกันกำลังมืดลง ผู้คนรอคอยคำตอบจากปล่องควันเริ่มหนาตา
ไม่นานนัก กลุ่มควันสีขาวก็พวยพุ่งออกมา ตัดกับความมืดดำ
เป็นการตัดกันแบบคนละขั้วคนละฝ่ายอย่างชัดเจน ใช่หรือไม่
มันเหมือนเป็นสัญญาณบางอย่างบ่งบอกว่า ท่ามกลางความมืดมนของยุคสมัย
มีแต่ความขาวสะอาดบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะทำให้เกิดความหวังและความงดงามได้
แล้วพระสันตะปาปา ฟรังซิส ผู้ที่เป็นควันขาวที่ฉายแสงเด่นท่ามกลางความมืดมน
พระองค์ได้มาแล้ว อยู่ตรงนี้ เวลานี้ อย่างพอเหมาะพอดี...
ในโลกที่เรากำลังหลงใหลกับทุนนิยม
ทุกอย่างถูกทดแทนด้วยเงินทอง ทำให้วิถีชีวิตผู้คนเปลี่ยนแปลงไป
เกิดความโลภและความเห็นแก่ตัวระบาดไปทั่วทุกหัวระแหง
นำไปสู่การแข่งขันชนิดที่ไม่เห็นหัวกันและกัน จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง
เป็นจุดที่ตีบตัน ปัญหาทุกอย่างประดังเข้าใส่จนหาทางแก้กันไม่ได้
อย่างเช่นในกลุ่มของยูโรโซนที่กำลังพบกับวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ จนทำให้ “ฮาฟีซ” ผู้บริหารของดอยซ์ แบงค์ ออกมาพูดระหว่างขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่นครฮัมบูร์ก
ประเทศเยอรมนี โดยระบุว่า “วิกฤตด้านหนี้สินและภาวะไม่สมดุลด้านงบประมาณ
ตลอดจน
ปัญหาเสถียรภาพของภาคธนาคารที่เกิดขึ้นในหลายประเทศในกลุ่มยูโรโซนถือเป็นหายนะครั้งใหญ่
ที่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจไปทั่วโลก และดูเหมือนมีเพียง “พระเยซูคริสตเจ้า” เท่านั้นที่สามารถช่วยปกป้องกลุ่มยูโรโซนจากหายนะดังกล่าวได้” บางคนอาจจะมองว่าที่เขาพูดนั้นเกินจริงไปหรือเปล่า!!! หรือไม่ก็พูดไปเพื่อเสียดสี แท้จริงแล้วเขาไม่ได้พูดประชดประชันใคร
แต่มีความหมายเป็นนัยสำคัญมากกว่า นั่นคือ ต้องใช้ศาสนาเท่านั้นที่จะเยียวยาปัญหาเศรษฐกิจได้
ทำให้คิดถึงแนวการดำเนินชีวิตของพระสันตะปาปา ที่พระองค์ดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย
บนความพอเพียงและนำส่วนที่เกินความจำเป็นไปช่วยเหลือผู้ยากไร้
ถ้าหากเราไม่กลับมายึดหลักธรรมในศาสนา สังคมโลกก็จะไปไม่รอด ทุนนิยม
เงินตรานิยาม ก็ไม่สามารถกอบกู้จิตใจผู้คนที่หลงไปกับทรัพย์สมบัติที่เสาะหา
สะสมได้เลย
ใช่หรือไม่ ในขณะที่เราสะสม ในขณะที่เราโลภกอบโกยเข้าเก็บไว้คนเดียว
เราก็จะทำให้เกิดผู้ยากไร้มากขึ้น
ปัญหาก็จะมีมากและเข้ามาเกี่ยวข้องกับเราอย่างมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้
แต่หากว่าวันนี้เราทำให้เกิดสมบัติมากขึ้นตามความสามารถของเราและเราได้แบ่งปันส่วนที่มากไปนั้นให้กับผู้ยากไร้ปัญหาก็จะลดน้อยลง
โลกนี้มีผู้ยากไร้เพื่อให้เราได้เพิ่มพูนความดี
มิใช่มีผู้ยากไร้เพื่อทำให้เราดูร่ำรวยขึ้นเสียเมื่อไร
การแบ่งปันจึงเป็นเรื่องสำคัญในการปกป้องกัน การสมถะหรือความพอเพียงหาใช่การต้องมีเงินทองให้น้อยเสียเมื่อไร
แต่อยู่ที่ใช้เท่าที่จำเป็น แล้วให้ผู้อื่นใช้ในส่วนที่เกินความจำเป็นต่างหาก
และผลสืบเนื่องในโลกยุคใหม่ที่ผู้คนต่างครอบครองข่าวสาร
เพียงเพื่อให้ดูว่ามีความรู้สูงกว่าผู้อื่น จนกลายเป็นวัฒนธรรม “คนบ้ารู้” และใช้ความรู้มาปกป้องตัวเอง มาสร้างฐานยึดมั่นถือมั่น
ฟังใครไม่เป็นและพร้อมที่จะโกรธ เกลียดชังคนที่ไม่ยอมรับฟังเรา
ปัญหาความขัดแย้งจึงมีขึ้นเรื่อยๆ
สังคมนับถือค่านิยมว่าคนที่ไม่เคยอภัยให้ใครคือคนที่เยี่ยมยอดในปฐพี
ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับหลักคำสอนที่พระเยซูเจ้าได้ตรัสสอนไว้
ในวันที่สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงถวายมิสซาเช้าวันอาทิตย์ที่วัดซานตา อันนา
ในวาติกัน พระสันตะปาปาทรงเทศน์ โดยมีใจความว่า “ถ้าเราทำตัวเหมือนพวกฟาริสีที่อยู่ต่อหน้าพระแท่น
และพูดว่า “ขอโมทนาคุณพระเจ้าที่ไม่ทำให้ข้าพระองค์เป็นเหมือนคนอื่นๆ
เฉพาะอย่างยิ่งพวกที่อยู่หน้าประตูพระวิหาร” ถ้าเราคิดแบบนี้
เราก็ไม่รู้ถึงพระหฤทัยของพระเจ้าอย่างแน่นอน
และเราก็จะไม่มีวันค้นพบความชื่นชมยินดี รวมถึงสัมผัสถึงพระเมตตาของพระองค์ ...
พี่น้องที่รัก เราต้องวอนขอพระหรรษทานจากพระเจ้า และอย่าเหนื่อยกับการขออภัยโทษจากพระเจ้า
สำหรับพระเจ้าแล้ว พระองค์ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยที่จะให้อภัยพวกเราเลย” (Pope Report) ...
พระเจ้าไม่เคยเหนื่อยที่จะให้อภัยเราแล้วเราใยต้องเหนื่อยเหน็ดกับการยกโทษให้ผู้อื่นเล่า
ในควันสีขาวของวันนั้นแสงสว่างเล็กๆกำลังจะเปิดโลกมืดแห่งยุคสมัยใหม่แล้ว
เราต้องร่วมใจกันภาวนาสำหรับพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่
เพื่อพระองค์จะได้นำพระเยซูคริสต์ผู้นั่งบนหลังลาอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวท่ามกลางความโห่ร้องยินดี
มาสู่หัวใจของคนทั่วโลก
และคนทั้งหลายก็จะรู้ว่าหากปราศจากพระองค์ผู้ที่ยอมรับความผิดแต่เพียงผู้เดียวนี้โลกก็ไม่อาจจะพ้นวิกฤตไปได้
ขอบคุณพระเจ้า
องค์พระจิตเจ้าผู้ทรงส่งผู้นำที่ถูกที่ถูกวันเวลามาสู่ยุคใหม่อย่างเหมาะสม
และมิได้เป็นไปตามน้ำใจมนุษย์แต่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์
ดูเหมือนว่าพระองค์กำลังให้บทสอนที่พิสูจน์ผ่านชีวิตจริงของสมเด็จพระสันตะปาปา
ฟรังซิส นี้เอง แล้วเราจะไม่ออกก้าวเดินไปพร้อมๆกับพระองค์
พร้อมกับพระศาสนจักรหรือ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น