วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

ควันขาวในความมืด


ควันขาวในความมืด
ดูเหมือนว่าการที่เรามีพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ พระสันตะปาปา ฟรังซิส นั้นได้ทำให้คนทั้งโลกหยุดยืนตะลึงงันไปพักหนึ่ง เพราะเป็นสิ่งที่เหนือการคาดเดา เหนือคำวิเคราะห์วิจารณ์อย่างสุดขั้ว พลิกความคาดหวังของคนเป็นจำนวนมากที่ถูกกระแสชักนำ และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันพระองค์ก็ได้เข้าไปอยู่ในใจของคนทั่วทั้งโลก เนื่องด้วยการปฏิบัติตัวอย่างในความสมถะ ความเรียบง่าย ความสุภาพถ่อมตน และการเข้าถึงใกล้ชิดประชาชน โดยยึดมั่นในหลักการที่พระองค์ทรงปฏิบัติมาทั้งชีวิต ที่ไร้การเสแสร้งแกล้งทำ ความจริงใจของพระองค์ที่แสดงถึงความรักของพระเจ้ากำลังแผ่ออกไปให้ทั่วโลกให้เห็นเป็นประจักษ์พยาน อดที่จะคิดถึงคืนนั้นไม่ได้ เวลาที่วาติกันกำลังมืดลง ผู้คนรอคอยคำตอบจากปล่องควันเริ่มหนาตา ไม่นานนัก กลุ่มควันสีขาวก็พวยพุ่งออกมา ตัดกับความมืดดำ เป็นการตัดกันแบบคนละขั้วคนละฝ่ายอย่างชัดเจน ใช่หรือไม่ มันเหมือนเป็นสัญญาณบางอย่างบ่งบอกว่า ท่ามกลางความมืดมนของยุคสมัย มีแต่ความขาวสะอาดบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะทำให้เกิดความหวังและความงดงามได้ แล้วพระสันตะปาปา ฟรังซิส ผู้ที่เป็นควันขาวที่ฉายแสงเด่นท่ามกลางความมืดมน พระองค์ได้มาแล้ว อยู่ตรงนี้ เวลานี้ อย่างพอเหมาะพอดี..
ในโลกที่เรากำลังหลงใหลกับทุนนิยม ทุกอย่างถูกทดแทนด้วยเงินทอง ทำให้วิถีชีวิตผู้คนเปลี่ยนแปลงไป เกิดความโลภและความเห็นแก่ตัวระบาดไปทั่วทุกหัวระแหง นำไปสู่การแข่งขันชนิดที่ไม่เห็นหัวกันและกัน จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง เป็นจุดที่ตีบตัน ปัญหาทุกอย่างประดังเข้าใส่จนหาทางแก้กันไม่ได้ อย่างเช่นในกลุ่มของยูโรโซนที่กำลังพบกับวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ จนทำให้  ฮาฟีซ ผู้บริหารของดอยซ์ แบงค์ ออกมาพูดระหว่างขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่นครฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี โดยระบุว่า วิกฤตด้านหนี้สินและภาวะไม่สมดุลด้านงบประมาณ ตลอดจน ปัญหาเสถียรภาพของภาคธนาคารที่เกิดขึ้นในหลายประเทศในกลุ่มยูโรโซนถือเป็นหายนะครั้งใหญ่ ที่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจไปทั่วโลก และดูเหมือนมีเพียง พระเยซูคริสตเจ้า เท่านั้นที่สามารถช่วยปกป้องกลุ่มยูโรโซนจากหายนะดังกล่าวได้ บางคนอาจจะมองว่าที่เขาพูดนั้นเกินจริงไปหรือเปล่า!!! หรือไม่ก็พูดไปเพื่อเสียดสี แท้จริงแล้วเขาไม่ได้พูดประชดประชันใคร แต่มีความหมายเป็นนัยสำคัญมากกว่า นั่นคือ ต้องใช้ศาสนาเท่านั้นที่จะเยียวยาปัญหาเศรษฐกิจได้ ทำให้คิดถึงแนวการดำเนินชีวิตของพระสันตะปาปา ที่พระองค์ดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย บนความพอเพียงและนำส่วนที่เกินความจำเป็นไปช่วยเหลือผู้ยากไร้ ถ้าหากเราไม่กลับมายึดหลักธรรมในศาสนา สังคมโลกก็จะไปไม่รอด ทุนนิยม เงินตรานิยาม ก็ไม่สามารถกอบกู้จิตใจผู้คนที่หลงไปกับทรัพย์สมบัติที่เสาะหา สะสมได้เลย
ใช่หรือไม่ ในขณะที่เราสะสม ในขณะที่เราโลภกอบโกยเข้าเก็บไว้คนเดียว เราก็จะทำให้เกิดผู้ยากไร้มากขึ้น ปัญหาก็จะมีมากและเข้ามาเกี่ยวข้องกับเราอย่างมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ แต่หากว่าวันนี้เราทำให้เกิดสมบัติมากขึ้นตามความสามารถของเราและเราได้แบ่งปันส่วนที่มากไปนั้นให้กับผู้ยากไร้ปัญหาก็จะลดน้อยลง โลกนี้มีผู้ยากไร้เพื่อให้เราได้เพิ่มพูนความดี มิใช่มีผู้ยากไร้เพื่อทำให้เราดูร่ำรวยขึ้นเสียเมื่อไร การแบ่งปันจึงเป็นเรื่องสำคัญในการปกป้องกัน การสมถะหรือความพอเพียงหาใช่การต้องมีเงินทองให้น้อยเสียเมื่อไร แต่อยู่ที่ใช้เท่าที่จำเป็น แล้วให้ผู้อื่นใช้ในส่วนที่เกินความจำเป็นต่างหาก
และผลสืบเนื่องในโลกยุคใหม่ที่ผู้คนต่างครอบครองข่าวสาร เพียงเพื่อให้ดูว่ามีความรู้สูงกว่าผู้อื่น จนกลายเป็นวัฒนธรรม คนบ้ารู้ และใช้ความรู้มาปกป้องตัวเอง มาสร้างฐานยึดมั่นถือมั่น ฟังใครไม่เป็นและพร้อมที่จะโกรธ เกลียดชังคนที่ไม่ยอมรับฟังเรา ปัญหาความขัดแย้งจึงมีขึ้นเรื่อยๆ สังคมนับถือค่านิยมว่าคนที่ไม่เคยอภัยให้ใครคือคนที่เยี่ยมยอดในปฐพี ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับหลักคำสอนที่พระเยซูเจ้าได้ตรัสสอนไว้ ในวันที่สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงถวายมิสซาเช้าวันอาทิตย์ที่วัดซานตา อันนา ในวาติกัน พระสันตะปาปาทรงเทศน์ โดยมีใจความว่า ถ้าเราทำตัวเหมือนพวกฟาริสีที่อยู่ต่อหน้าพระแท่น และพูดว่า ขอโมทนาคุณพระเจ้าที่ไม่ทำให้ข้าพระองค์เป็นเหมือนคนอื่นๆ เฉพาะอย่างยิ่งพวกที่อยู่หน้าประตูพระวิหาร ถ้าเราคิดแบบนี้ เราก็ไม่รู้ถึงพระหฤทัยของพระเจ้าอย่างแน่นอน และเราก็จะไม่มีวันค้นพบความชื่นชมยินดี รวมถึงสัมผัสถึงพระเมตตาของพระองค์ ... พี่น้องที่รัก เราต้องวอนขอพระหรรษทานจากพระเจ้า และอย่าเหนื่อยกับการขออภัยโทษจากพระเจ้า สำหรับพระเจ้าแล้ว พระองค์ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยที่จะให้อภัยพวกเราเลย (Pope Report) ... พระเจ้าไม่เคยเหนื่อยที่จะให้อภัยเราแล้วเราใยต้องเหนื่อยเหน็ดกับการยกโทษให้ผู้อื่นเล่า
ในควันสีขาวของวันนั้นแสงสว่างเล็กๆกำลังจะเปิดโลกมืดแห่งยุคสมัยใหม่แล้ว เราต้องร่วมใจกันภาวนาสำหรับพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ เพื่อพระองค์จะได้นำพระเยซูคริสต์ผู้นั่งบนหลังลาอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวท่ามกลางความโห่ร้องยินดี มาสู่หัวใจของคนทั่วโลก และคนทั้งหลายก็จะรู้ว่าหากปราศจากพระองค์ผู้ที่ยอมรับความผิดแต่เพียงผู้เดียวนี้โลกก็ไม่อาจจะพ้นวิกฤตไปได้ ขอบคุณพระเจ้า องค์พระจิตเจ้าผู้ทรงส่งผู้นำที่ถูกที่ถูกวันเวลามาสู่ยุคใหม่อย่างเหมาะสม และมิได้เป็นไปตามน้ำใจมนุษย์แต่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ ดูเหมือนว่าพระองค์กำลังให้บทสอนที่พิสูจน์ผ่านชีวิตจริงของสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส นี้เอง แล้วเราจะไม่ออกก้าวเดินไปพร้อมๆกับพระองค์ พร้อมกับพระศาสนจักรหรือ...

ไม่มีความคิดเห็น: