หากเราไม่ช่วยกัน
ในยุคสื่อสารครองโลก
สังคมเครือข่ายครองวิถีชีวิตผู้คน สังคมออนไลน์คือลมหายใจที่มิมีวันสิ้น ทุกนาทีเสพติดสัมผัสปลายนิ้ว
ไม่มีเวลาเว้นวรรคพักใจแม้กระทั่งในวัดในวา ต้องหยิบ ต้องเปิด ต้องดู
ต้องแสดงความคิดเห็น กลัวตกข่าวกลัวตกเทรนด์หรือกลัวถูกนินทาออนไลน์ ทุกคนกำลังถูกกลืนกินให้กลายเป็นนักวิจารณ์
นักวิพากษ์ ที่สามารถใส่ความเห็นได้ทุกเรื่องแม้กระทั่งในเรื่องที่ตัวเองไม่รู้เรื่องเลย
การสื่อสารที่ทันสมัยกลายเป็นเครื่องมือรองรับจริตของผู้คน ผู้หลงใหลในความเป็นตัวตนของตัวเองจนล้ำหน้าเกินผู้อื่น
คำหยาบคาย การแสดงความคิดด้วยอารมณ์สะใจ การเขียนที่ใส่ไปในอากาศที่ไร้ความรับผิดชอบจึงเกิดขึ้นมากมาย
ที่ร้ายไปกว่านั้น ที่มีบ้างบางคนเสพติดการอ่านความเห็นแรงๆของคนอื่น แอบสะใจแต่ไม่แสดงออก
หรือไม่ ก็เป็นประเภทยกถ้อยคำคมมากรีดเชือดเฉือนเพื่อนๆคนรอบข้าง
ตีวัวกระทบคราดก็มีให้เห็นกันดาษดื่น
ยิ่งในช่วงนี้พระศาสนจักรคาทอลิกของเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน
จากการที่สมเด็จพระสันตะปาปากิตติคุณ เบเนดิกต์ที่ 16 สละตำแหน่ง
จึงมีผลทำให้ต้องมีการสรรหาผู้นำวิญญาณ ผู้ที่สืบสานตำแหน่งแห่งพระคริสต์คนใหม่ ทำให้เกิดข่าวคราวหลากหลายทะลักทลายออกมา
จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง วิเคราะห์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา มีการคาดการณ์คาดเกร็งเล็งว่าน่าจะเป็นคนนั้นคนนี้
โดยที่ละเลยถึงกระบวนการเลือกนั้น ที่มิใช่เป็นการเลือกตามวิถีทางหลักการเลือกผู้นำประเทศทั่วๆไป
แต่เปี่ยมล้นไปด้วยความศรัทธาและการดลบันดาลขององค์พระจิตเจ้า แน่ล่ะ...พูดแบบนี้คนที่มิใช่คริสตชนย่อมไม่เข้าใจ
เพราะยากต่อจริตคนที่ชอบอะไรที่ง่ายๆ จำเป็นที่เราต้องอธิบายให้ผู้คนทั่วไปได้เข้าใจว่า
ความศรัทธานั้นมิอาจจะใช้คำตอบแบบหลักการทฤษฎีใดๆในโลกมาบอกกล่าว กว่าจะได้มาซึ่งบุคคลผู้สานงานพระคริสต์นั้น
ต้องอาศัยการสวดภาวนา การร่วมเป็นหนึ่งกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวในหมู่คณะพระคาร์ดินัลทั่วโลก
แล้วด้วยแรงศรัทธาพลังภาวนา จะส่งผ่านไปยังบรรดาพระคาร์ดินัลผู้มีสิทธิ์ในกระบวนการเลือกตั้ง
(อายุไม่เกิน 80 ปี)
จะนำมาซึ่งผู้ที่พระเจ้าเลือกสรร ขณะเดียวกันคริสตชนคนทั่วไป ก็ต้องร่วมเป็นหนึ่งด้วยการสวดภาวนาเพื่อการครั้งนี้ด้วย
เพื่อเราจะได้เดินไปกับพระศาสนจักร เพราะเป็นส่วนหนึ่งของพระศาสนจักรนี้
ใช่ในฐานะปัจเจก
เราติดตามข่าว ติดตามสถานการณ์ แต่เราต้องไม่คล้อยตามและถูกจูงด้วยคำคาดการณ์ของคนไม่กี่คน
ที่อาจจะมองเพียงสายตาและความเชี่ยวชาญตามประสามนุษย์ สิ่งที่สำคัญเราไม่ควรใช้จริตคิดไปเองไปประเมินผลแล้วใช้อารมณ์วิจารณ์งานของพระในครั้งนี้
อ่านข่าวติดตามข่าวได้ แต่อย่าติดกับดักทำให้เราสูญเสียศรัทธาที่ไว้วางใจในพระเจ้า
และจะเป็นการดีมิใช่น้อยที่เราจะใช้ช่วงเวลานี้อธิบายความให้กับผู้คนเพื่อให้ทราบถึงแผนการงานสานศาสนาคริสต์
ภายใต้ร่มของพระศาสนจักรสากล
วิธีการเลือกตั้งพระสันตะปาปานั้นมี
3 แบบคือ
1. เลือกโดยอาศัยแรงดลใจจากพระจิตเจ้า วิธีนี้ คือ
ในวันแรกของการประชุม บรรดาพระคาร์ดินัลเลือกคนหนึ่งคนใด แล้วประกาศให้คนนั้นเป็นพระสันตะปาปาเลย
โดยไม่ต้องมีการลงคะแนนเสียง แต่ถือเอาเสียงส่วนใหญ่เป็นเกณฑ์ วิธีนี้เรียกว่า Viva
Voce
2.เลือกโดยอาศัยหลักการประนีประนอมกัน วิธีนี้เมื่อคะแนนมาถึงจุดที่เท่ากันจึงต้องใช้การเจรจาประนีประนอม
และบรรดาพระคาร์ดินัลจะให้คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาก่อนหน้าแล้วจะมี 3 คน 5 คน หรือ 7 คน ก็แล้วแต่ เป็นตัวแทนเลือกพระสันตะปาปาในนามของคณะกรรมการนี้ถือเป็นเด็ดขาดที่ประชุมต้องยอมรับ
3.เลือกโดยอาศัยหลักการลงคะแนนลับ วิธีนี้คือ วิธีที่ใช้มากที่สุดในประวัติการเลือกตั้ง พระสันตะปาปา
และใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน กล่าวคือ ผู้ที่จะได้รับเลือกนั้นจะต้องได้ คะแนน
2 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมด หากจำนวนสมาชิกไม่สามารถแบ่งได้เป็น
2 ใน 3 ก็จะให้เพิ่มคะแนนเข้าไปอีกหนึ่งเพื่อให้ครบตามจำนวน
และเมื่อการลงคะแนนแต่ละครั้งผ่านไป จะมีการเผากระดาษคะแนนทุกๆ สองครั้ง
เมื่อเลือกพระสันตะปาปาได้แล้ว
พระคาร์ดินัลอาวุโสจะถามความสมัครใจว่าจะรับตำแหน่งพระสันตะปาปาหรือไม่
ถ้ารับก็ถือว่ากระบวนการเลือกตั้งเสร็จสิ้นลง ถ้าไม่รับก็จะมีการเลือกกันใหม่
ถ้าผู้ได้รับเลือกยอมรับตำแหน่งก็จะมีการถามว่า พระองค์จะใช้ชื่ออะไร
จากนั้นก็จะประกาศให้ประชาชนทราบว่าเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่ได้แล้ว
ก่อนและหลังในทุกขั้นตอนของการเลือกพระสันตะปาปานั้น
บรรดาพระคาร์ดินัลจะร่วมกันถวายมิสซา ทำวจนะพิธีกรรม
และสวดภาวนาของความสว่างจากองค์พระจิตเจ้าเสมอ
เพื่อให้การเลือกสรรนั้นมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
ในสายตาของคนทั่วไปอาจจะมองว่าไม่เห็นจะต้องยุ่งยาก แค่เปิดรับสมัครผู้ที่พร้อม
และก็หาเสียง ประกาศนโยบาย ลงคะแนนเสียง ใครได้มากกว่าก็ได้รับเลือก
แต่สำหรับผู้นำจิตวิญญาณของเรานั้น เราเชื่อว่า ผู้ที่ได้รับต้องผ่านกระบวนผ่านทางแห่งความเชื่อ
และความศรัทธาร่วมกันของทุกคนในพระศาสนจักร อาจจะใช้เวลานานหรือไม่นาน
ไม่ใช่ข้อจำกัด
หากว่าเราไม่ช่วยกันบอกเล่าปล่อยให้กระแสข่าวที่ไหลออกมาตามคำวิจารณ์ในสื่อที่ครองโลกแบบวันนี้
แล้วเราจะมีสิ่งใดที่ยึดโยงความเชื่อความศรัทธาของเราไว้ได้
ในขณะเดียวกันในช่วงเวลามหาพรตเช่นนี้ เราลอง ลด ละ น้ำใจของตัวเองด้วยการหยุดวิจารณ์
หยุดพูด หยุดบ่น ในเครือข่ายออนไลน์ลงบ้าง ให้เวลากับร่างกายและจิตใจได้สัมพันธ์กัน เพื่อร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันเดินไปพร้อมกับพระศาสนจักร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น