ค่าของเงินอยู่ที่ได้ใช้..
ค่าของคนอยู่ที่ไหน
“ค่าของเงินมันอยู่ที่การได้จับจ่าย
ไม่เช่นนั้นเป็นแค่กระดาษใบหนึ่ง เวลาเราไปต่างประเทศ ธนบัตรไทยก็ไม่มีค่า ไม่มีใครอยากได้” คำพูดของอาจารย์วีระ
ธีรภัทร ที่เคยได้ยินได้ฟังมาจากรายการวิทยุก้องขึ้นมาในค่ำคืนฝนพรำ
คืนที่ชะตาพลิกผันชั่วเสี้ยวนาที คืนแห่งการเสาะหาประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ก็ได้พบประสบการณ์ที่แปลกกว่า
ในค่ำคืนนั้นเป็นการนัดหมายของผู้ใหญ่ใจดี
ที่ปรารถนาเลี้ยงอาหารโดยให้เลือกสถานที่ตามใจชอบ
หนึ่งในกลุ่มผู้ร่วมรับเชิญจึงหาที่ที่ไม่เคยไป แต่เคยเห็นและอยากจะไป เพื่อลิ้มลองบรรยากาศและลิ้มรสอาหารของร้านหรูริมน้ำเจ้าพระยา
โดยมีฉากหน้าเป็นวัดอรุณราชวราราม ด้วยว่าเวลาที่นัดหมาย(จอง)กับทางร้านไว้นั้น หากเดินทางด้วยรถยนต์มิอาจจะไปทันเวลาแน่แท้
ทั้งหมดจึงได้ลงเรือด่วนไปยังร้าน
เมื่อไปถึงเราได้โต๊ะมุมอับที่ไม่ได้เห็นบรรยากาศอย่างที่คาดคิด ใช่หรือไม่ คนเรามักตั้งความหวังไว้สูงเกินไปเสมอ
แม้จะมีรอยผิดหวังเล็กๆ พยายามต่อรองขอที่ทำเลที่ดีกว่า แต่ทุกโต๊ะถูกจับจองเป็นเวลาแรมเดือน
เราจึงพอทำใจได้ว่าก็เรามาทีหลัง เราต้องน้อมรับกฎกติกาสากล
แต่ทางร้านก็มีมุมให้เราได้ซึมซับบรรยากาศริมน้ำบนชั้นลอย ก่อนลงมาประจำที่เพื่อทานอาหาร
แล้วสิ่งที่เราไม่ได้คิดการล่วงหน้า ก็ล่วงหล่นลงมาตรงหน้า
นั่นคือเม็ดฝนใหญ่ที่เริ่มพัดกระหน่ำนองลงมา จากมุมอับกลายเป็นมุมหลบมุมปลอดภัยจากสายฝน
จากโต๊ะที่ได้มุมดีโล่งโปร่งมองเห็นวิวทิวทัศน์กลายเป็นมุมเปียกปอน กระเด็นกระดอนจากที่นั่งที่จอง
ชีวิตก็เป็นเช่นนั้น ใครเลยจะล่วงรู้ถึงชะตากรรมแม้เพียงชั่งโมงหนึ่งข้างหน้า
นอกจากพระผู้เป็นเจ้า สำหรับเราต้องไว้วางใจในหนทางที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้ในทุกลมหายใจ…
หลังจากอิ่มหนำสำราญอาหารจานแปลกใหม่
ก็ถึงเวลาต้องกลับสู่บ้าน ในคืนแห่งสายฝนโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง
ด้วยความคุ้นชินว่าเมืองหลวงของเราถนนหนทางไม่มีเวลาหลับ รถแท็กซี่มีมากมายให้เลือกสีเลือกคันเก่าใหม่
และแล้วสิ่งที่คาดหวังก็ต้องเริ่มต้นหวังกันใหม่อีกครั้ง โดยหวังว่าจะมีรถแท็กซี่ว่างสักคันผ่านมาแถวนี้
ผ่านไปหลายนาที เป็นหลายสิบนาที ก็หามีไม่สักคัน วิถีชีวิตที่ต้องให้ดิ้นรนค้นหาทางแก้ไขปัญหา
จำต้องหาทางที่จะเดินทางกลับสู่บ้านให้ได้ รถเมล์ คือ คำตอบ ณ เวลานั้น
เพื่อให้ไปสู่ในที่ที่จะหารถราได้ง่ายกว่าย่านนั้น ผ่านมาสักสามสี่ป้าย
เป้าหมายของเราก็มาถึง
ลงจากรถเมล์รอเรียกรถแท็กซี่บนถนนที่ดูเหมือนว่าจะมีรถวิ่งไปมามากกว่า
แต่แล้วก็ยังไม่มีวี่แวว สุดท้ายทางเลือกคือรถตุ๊กตุ๊ก
ที่อัดแน่นนำเราสู่บ้านอย่างปลอดภัยและอัธยาศัยที่งดงามของคนขับ มันน่าแปลกไหมล่ะ เมื่อครู่เรายังนั่งละเมียดรสอาหารในร้านหรู
แต่ไม่นานเราต้องมาดิ้นรนมองหารถเพื่อพาเรากลับบ้าน รถอะไรก็ได้
ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินเพื่อให้ได้มาเพื่อความสะดวกสบาย แต่เรามิอาจจะใช้เงินจ่ายด้วยด้วยปัจจัยที่เงินก็ไม่อาจจะช่วยได้...
หันมามองชีวิตของคนเราล่ะ ค่าของเราอยู่ตรงไหน
ความดีที่มีในตัวตนมีประโยชน์อันใด หากไม่ได้นำออกมาใช้แจกจ่ายออกไป
เราจะสะสมความดีไว้เพียงเพื่อตัวเองอย่างนั้นหรือ คนเราจะมีค่าเมื่อเราก่อประโยชน์ให้เกิดแก่ผู้อื่น
ในสังคมที่มีค่านิยมที่สอนให้เราจมปลักอยู่กับตัวเองจนเกินไป ทำอะไรก็เพื่อตัวเอง
ไม่เว้นแม้แต่การทำความดี ที่มีเป้าหมายเพื่อให้เราเป็นที่เชิดชู เป็นที่ยกย่อง ค่านิยมของวัตถุที่ทำให้เราก้าวสู่การเห็นแก่ตัว
เห็นแก่ได้ เห็นแก่กิน หากไม่ได้ดังหวังแทนที่จะหาทางเริ่มต้นตั้งความหวังใหม่เพื่อเดินหน้าต่อไป
เรากลับหยุดลงตะโกนร้องเรียกให้ผู้อื่นมาหยิบยื่นให้เรา ใช่หรือไม่ ในสังคมที่เต็มไปด้วยผู้คนหวงแหนความดีงามเก็บไว้เพื่อตัวเอง
สังคมจึงกลายเป็นแหล่งรวมของสิ่งที่มีชีวิตแต่ไร้จิตใจ แห้งแล้งจิตวิญญาณ หาค่าของกันและกันไม่เจอ
ในความพลิกผันของชีวิตที่มีอยู่ตลอดเวลา
หากเราทำชีวิตให้มีคุณค่า ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เยี่ยงใด
ก็สามารถเดินไปได้อย่างดี ด้วยว่าเรามีความดีเป็นสิ่งนำทาง
ในด้านความเชื่อก็เช่นกัน ถ้าเราไม่สามารถนำความเชื่อให้ออกมาสู่การปฏิบัติ
ความเชื่อก็ไร้ค่า ความเชื่อที่แท้จริงต้องนำพาไปสู่ความรักและสู่ความเมตตา
แบ่งปันไปให้ผู้อื่น เรามีเงินแต่ใช้ไม่ได้ก็ไร้ค่า
เรามีความเชื่อแต่ไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติก็ไร้ผล...
ใน “ปีแห่งความเชื่อ”
ที่กำลังจะมาถึงนี้ เราควรจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ในการดำเนินชีวิตเพื่อรื้อฟื้นความเชื่อ
เพื่อเข้าใจความเชื่อให้ลึกซึ้ง และเพื่อแบ่งปันความเชื่อดังกล่าวให้กับผู้อื่น
ไม่ใช่ด้วยการสอนเท่านั้น แต่ด้วยการกระทำที่เป็นแบบฉบับแห่งความรักของคริสตชนด้วย
“ปีแห่งความเชื่อ” สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเรียกร้องให้เราคริสตชนค้นให้พบ “ประตูแห่งความเชื่อ” ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนวิญญาณ
ความเชื่อสามารถเป็นประตูที่สามารถทำให้เราเปลี่ยนแปลงภายในได้ แม้ว่าสิ่งต่างๆ
ของโลกนี้จะสูญหายมลายไป สิ่งที่จะคงเหลืออยู่ก็คือความสุขอันเป็นนิรันดร “เพราะความรักพระเจ้า
ผลักดันเราวันนี้ให้มีชีวีเพื่อเป็นพยาน
ก้าวเข้ามาสู่ประตูแห่งความเชื่อที่รอเราอยู่
เปิดหัวใจและมองดูจะรับรู้ถึงพระเมตตา โปรดนำเราในทางแห่งความหวัง รัก และศรัทธา
ให้เรารู้ว่า ความเชื่อนั้นสร้างชีวิตให้สวยงาม”
เป็นท่อนหนึ่งของบทเพลง “ประตูแห่งความเชื่อ” ที่แสนไพเราะ (บทเพลงชุดพิเศษ โอกาสปีแห่งความเชื่อ มีจำหน่ายแล้ว)
....ใช่หรือไม่ หากเราเปิดหัวใจให้ความดี ความงาม และความรักของพระเจ้าในตัวเราออกมาให้ผู้อื่นได้รับรู้
เราจึงจะมีค่า แต่ที่สำคัญนั้น เราได้สร้างความดี ความงาม
ความรักของพระเจ้าให้เกิดขึ้นในตัวของเราแล้วหรือยัง.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น