เมตตาอย่าเปลี่ยน…
ยุคสมัยใหม่ที่เต็มล้นไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายก่ายกอง
จนผู้คนแทบไม่ต้องใช้สมองใช้พลังทางกายภาพก็สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสบาย จึงทำให้เราตกอยู่ในสภาวะที่ถูกวัตถุครอบงำ
สมองและร่างกายถูกใช้งานลดน้อยลง จิตใจ จิตวิญญาณก็พลอยสูญสลายหายไป แปลกไหม เมื่อโลกเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือช่วยให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้นแต่ทำไมเราจึงอยู่ร่วมกันยากขึ้น...
ใครซื่อสัตย์ เที่ยงตรงก็อยู่ในองค์กรที่มีเรื่องลับลมคมในไม่ได้
ไม่ทำตามน้ำก็ต้องจมน้ำตาย
คนที่ถือคุณธรรมก็มักถูกกระทำให้ยับเยินเรื่องที่จะสรรเสริญกันหน่ะต้องใช้เงินก้อนใหญ่เท่านั้นจึงจะได้มา
ไม่ทำตามกระแสก็ต้องกระเสือกกระสนหาที่หาทางอยู่ใหม่ ไร้ความยุติธรรม
ความถูกต้องอยู่ที่มีพวกมากพาลากกันไป คดโกงไม่ต้องอายใช้การตลาดการโฆษณา จัด Event กลบเกลื่อนกันไป เราอยู่กันด้วยความฉาบฉวยอวยกันไปอวยกันมา
ทั้งๆที่ความจริงสิงอยู่ก้นลึกของหัวใจไม่ได้รับการเผยแสดงออกมา ใครตกอับ
พลาดล้มลง มีไหม!!! ที่จะช่วยพยุง
มีแต่จ้องกระทืบซ้ำให้จมพื้น ความเมตตาสมัยนี้มันหายากมากกว่าเงินทองเสียอีก
หรือว่าสิ่งสร้างสมัยใหม่มันลดทอนความเป็นคนของเราลงไปทุกวัน
แต่เราไม่ใช้มันก็ไม่ได้ แล้วเราจะทำอย่างไร
เป็นคำถามที่วนเวียนเวียนวนๆปนๆอยู่ในหัวสมอง...
จริงๆแล้วเราทุกคนล้วนมีความเมตตาติดตัวด้วยกันทั้งนั้น ใช่หรือไม่ ที่เราจำต้องงดเมตตาลงไป เพราะในสังคมนี้มีแต่สิ่งจอมปลอม
ดีไม่ดีทำไปแล้วถูกหลอก ถูกลวงให้ช้ำใจไปเปล่าๆ
สู้อยู่เฉยๆดีกว่าสบายกว่ากันเยอะเลย นั่นก็เป็นสิ่งที่เราคิดแบบแนวสมัยใหม่
ที่ทำอะไรต้องมีการประเมินค่า มีผลได้เสีย มีการพิสูจน์ออกมาเป็นสิ่งของจับต้องได้
แต่สำหรับ...ความเมตตาบางทีให้ไปแล้วสิ่งสำคัญคือ “สุขใจ” และเพื่อสุขใจอย่างแท้จริงเรายอม ต้องรอบคอบและใส่ใจในทุกรายละเอียด เริ่มเมตตาจากใจและต้องจบด้วยความจริงใจ
น่าจะเป็นสิ่งที่จะทำได้ในสังคมวันนี้
อย่าให้วันเวลาเปลี่ยนทุกสิ่งต้องเปลี่ยนตามไปด้วย เรื่องจิตวิญญาณ ความรัก
ความเมตตาอาทร ควรเป็นนิรันดร์
เหมือนเช่นนักบุญหลุยส์กษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน
มีความสะดวกสบายที่สุดจนแทบไม่ต้องทำอะไร แต่พระองค์ไม่ได้ให้ค่ากับตำแหน่งและทรัพย์สมบัตินั้นเลย
สิ่งที่พระองค์มีคือความเมตตา และให้ไปอย่างเต็มกำลัง
แม้อยู่ในเวลาแห่งสงครามท่ามกลางความขัดแย้ง
ท่านเป็นแบบอย่างของผู้ที่เป็นใหญ่เพื่อรับใช้ทุกผู้คนด้วยหัวใจเมตตา...
กษัตริย์หลุยส์ที่ 9
ทรงให้ความสำคัญต่องานเมตตากิจเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้ยากไร้อย่างแท้จริง
แม้ในขณะที่พระองค์เสด็จประพาสต่างแดน
จะทรงมอบหมายหน้าที่สำคัญนี้ให้ขุนนางได้รับผิดชอบดำเนินการแทนความต่อเนื่องของโครงการช่วยเหลือผู้ป่วย
ผู้ยากไร้ และคนโรคเรื้อนที่สังคมรังเกียจ
ทำให้เกิดโครงการสร้างโรงพยาบาลเพื่อรองรับการให้ความช่วยเหลืออย่างครบวงจร
ทั้งนี้ เพราะพระองค์ทรงมีพระประสบการณ์เรื่องการทนทุกข์ จึงทรงทราบดีว่า ความเจ็บป่วยทางกายเป็นผลต่อจิตใจและจิตวิญญาณเช่นกัน....
“กษัตริย์หลุยส์ทรงมีพระทัยเปี่ยมด้วยพระเมตตา
ทรงมีความสุขมากเมื่อได้เสด็จเยี่ยมผู้ป่วยที่ทนทุกข์ทรมาน นอนรอความตาย
เพื่อตรัสบรรเทาใจ ให้คำแนะนำที่จำเป็นและให้พวกเขามอบความวางใจในพระเป็นเจ้า”
กษัตริย์หลุยส์ทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ก่อสร้างโรงพยาบาลที่เมืองเวอร์นอน
ทรงประทาน “ที่อาศัยและของใช้อื่นๆที่จำเป็นแก่ผู้ป่วยและผู้ยากไร้”
ในพิธีเปิดโรงพยาบาลไม่ห่างจากปราสาทกอมเปียนญ (Compiegne ) ทรงต้อนรับผู้ป่วยที่จนที่สุดเข้ารักษาเป็นรายแรก
พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ในทุกข์สุขของประชาชน
ทรงสร้างโรงพยาบาลหลายแห่ง เช่น โรงพยาบาลแก๊งซ-แวงต์ (Quinze –Vingts)
รับผู้ป่วยยากไร้และคนตาบอดได้มากถึง 300 เตียง
พระองค์หาเวลาเสด็จเยี่ยมและบรรเทาใจพวกเขาเสมอ ทรงทำทานแก่ขอทานหลายร้อยคนทุกๆวัน
และเพื่อไม่ให้เสียภาพลักษณ์ราชวงศ์ ทรงอนุญาตให้นำขอทานเข้ามาทางประตูด้านหลังของพระราชวัง
ในบั้นปลายชีวิต
พระองค์ทรงแนะนำพระราชโอรสและพระราชธิดาให้มีใจเมตตาต่อผู้ทนทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ
พระองค์ตรัสแก่พระราชโอรสว่า “ลูกรัก พ่อขอให้ลูกมีใจอ่อนโยนต่อผู้ยากไร้
และผู้ทนทุกข์ทั้งด้านร่างกายและจิตใจเสมอ” และตรัสแก่พระราชธิดาว่า “ขอลูกจงเมตตาสงสาร แก่ประชาชนผู้ประสบเคราะห์กรรมด้านร่างกายหรือจิตใจ”(น.หลุยส์ กษัตริย์ผู้เชื่อศรัทธา :วีณา โกวิทวนิชย์)
ในยุคสมัยใหม่นี้
ความเมตตากำลังสูญพันธ์
เงินตรากำลังถูกนำมาแทนที่และใช้การประเมินวัดค่าความเป็นคนในสังคม
แต่สิ่งเหล่านั้นอยู่ได้ไม่นาน ก็ตายไปจากความทรงจำของผู้คน
เมื่อใช้วัตถุวัดค่ากันเดี๋ยวก็มีคนที่มีมากกว่ามาแข่งเปรียบค่าให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
เช่นนี้แล้วคุณค่ามันอยู่ตรงไหน ใช่หรือไม่ โลกมักจดจำและให้ค่าของคนที่มีเมตตามากกว่าคนที่ร่ำรวยด้วยทรัพย์สิน
การมีทรัพย์สินมากๆไม่ใช่เรื่องผิด
(หากได้มาจากน้ำพักน้ำแรงและความขยันหมั่นเพียร)
ถ้าหากว่ามีการนำทรัพย์ไปเพื่อก่อเกิดกิจเมตตาน่าจะเป็นหนทางที่ดีเสียด้วยซ้ำไป
แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการให้ความเมตตาต่อผู้อื่นนั้นคือ ความจริงใจ
อย่าหวังเพียงเพื่อให้ได้ชื่อเสียงและหน้าตา เพราะความเมตตาสร้างแล้วใบหน้าจะผ่องใสด้วยตัวของมันเอง
และไม่ใช่เรื่องยากเลยถ้าเราจะเริ่มต้นความเมตตาในตัวตน
มอบให้แก่คนที่อยู่รอบข้างเรา มีเมตตาต่อพ่อแม่พี่น้อง ลูกๆ
เพราะคนเหล่านี้เรามิอาจจะสร้างภาพลักษณ์เพื่อให้คนอื่นมาเชิดชูเราได้
อย่าปล่อยให้ความเมตตาหายไปจากใจในยุคสมัยที่เต็มล้นไปด้วยวัตถุนี้เลย...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น