วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เมตตาอย่าเปลี่ยน…


เมตตาอย่าเปลี่ยน
ยุคสมัยใหม่ที่เต็มล้นไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายก่ายกอง จนผู้คนแทบไม่ต้องใช้สมองใช้พลังทางกายภาพก็สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสบาย จึงทำให้เราตกอยู่ในสภาวะที่ถูกวัตถุครอบงำ สมองและร่างกายถูกใช้งานลดน้อยลง จิตใจ จิตวิญญาณก็พลอยสูญสลายหายไป แปลกไหม เมื่อโลกเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือช่วยให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้นแต่ทำไมเราจึงอยู่ร่วมกันยากขึ้น... ใครซื่อสัตย์ เที่ยงตรงก็อยู่ในองค์กรที่มีเรื่องลับลมคมในไม่ได้ ไม่ทำตามน้ำก็ต้องจมน้ำตาย คนที่ถือคุณธรรมก็มักถูกกระทำให้ยับเยินเรื่องที่จะสรรเสริญกันหน่ะต้องใช้เงินก้อนใหญ่เท่านั้นจึงจะได้มา ไม่ทำตามกระแสก็ต้องกระเสือกกระสนหาที่หาทางอยู่ใหม่ ไร้ความยุติธรรม ความถูกต้องอยู่ที่มีพวกมากพาลากกันไป คดโกงไม่ต้องอายใช้การตลาดการโฆษณา จัด Event กลบเกลื่อนกันไป เราอยู่กันด้วยความฉาบฉวยอวยกันไปอวยกันมา ทั้งๆที่ความจริงสิงอยู่ก้นลึกของหัวใจไม่ได้รับการเผยแสดงออกมา ใครตกอับ พลาดล้มลง มีไหม!!! ที่จะช่วยพยุง มีแต่จ้องกระทืบซ้ำให้จมพื้น ความเมตตาสมัยนี้มันหายากมากกว่าเงินทองเสียอีก หรือว่าสิ่งสร้างสมัยใหม่มันลดทอนความเป็นคนของเราลงไปทุกวัน แต่เราไม่ใช้มันก็ไม่ได้ แล้วเราจะทำอย่างไร เป็นคำถามที่วนเวียนเวียนวนๆปนๆอยู่ในหัวสมอง...
จริงๆแล้วเราทุกคนล้วนมีความเมตตาติดตัวด้วยกันทั้งนั้น ใช่หรือไม่ ที่เราจำต้องงดเมตตาลงไป เพราะในสังคมนี้มีแต่สิ่งจอมปลอม ดีไม่ดีทำไปแล้วถูกหลอก ถูกลวงให้ช้ำใจไปเปล่าๆ สู้อยู่เฉยๆดีกว่าสบายกว่ากันเยอะเลย นั่นก็เป็นสิ่งที่เราคิดแบบแนวสมัยใหม่ ที่ทำอะไรต้องมีการประเมินค่า มีผลได้เสีย มีการพิสูจน์ออกมาเป็นสิ่งของจับต้องได้ แต่สำหรับ...ความเมตตาบางทีให้ไปแล้วสิ่งสำคัญคือ สุขใจ และเพื่อสุขใจอย่างแท้จริงเรายอม ต้องรอบคอบและใส่ใจในทุกรายละเอียด เริ่มเมตตาจากใจและต้องจบด้วยความจริงใจ น่าจะเป็นสิ่งที่จะทำได้ในสังคมวันนี้ อย่าให้วันเวลาเปลี่ยนทุกสิ่งต้องเปลี่ยนตามไปด้วย เรื่องจิตวิญญาณ ความรัก ความเมตตาอาทร ควรเป็นนิรันดร์ เหมือนเช่นนักบุญหลุยส์กษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน มีความสะดวกสบายที่สุดจนแทบไม่ต้องทำอะไร แต่พระองค์ไม่ได้ให้ค่ากับตำแหน่งและทรัพย์สมบัตินั้นเลย สิ่งที่พระองค์มีคือความเมตตา และให้ไปอย่างเต็มกำลัง แม้อยู่ในเวลาแห่งสงครามท่ามกลางความขัดแย้ง ท่านเป็นแบบอย่างของผู้ที่เป็นใหญ่เพื่อรับใช้ทุกผู้คนด้วยหัวใจเมตตา...
            กษัตริย์หลุยส์ที่ 9 ทรงให้ความสำคัญต่องานเมตตากิจเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้ยากไร้อย่างแท้จริง แม้ในขณะที่พระองค์เสด็จประพาสต่างแดน จะทรงมอบหมายหน้าที่สำคัญนี้ให้ขุนนางได้รับผิดชอบดำเนินการแทนความต่อเนื่องของโครงการช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้ยากไร้ และคนโรคเรื้อนที่สังคมรังเกียจ ทำให้เกิดโครงการสร้างโรงพยาบาลเพื่อรองรับการให้ความช่วยเหลืออย่างครบวงจร ทั้งนี้ เพราะพระองค์ทรงมีพระประสบการณ์เรื่องการทนทุกข์ จึงทรงทราบดีว่า ความเจ็บป่วยทางกายเป็นผลต่อจิตใจและจิตวิญญาณเช่นกัน....
            กษัตริย์หลุยส์ทรงมีพระทัยเปี่ยมด้วยพระเมตตา ทรงมีความสุขมากเมื่อได้เสด็จเยี่ยมผู้ป่วยที่ทนทุกข์ทรมาน นอนรอความตาย เพื่อตรัสบรรเทาใจ ให้คำแนะนำที่จำเป็นและให้พวกเขามอบความวางใจในพระเป็นเจ้า
กษัตริย์หลุยส์ทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ก่อสร้างโรงพยาบาลที่เมืองเวอร์นอน ทรงประทาน ที่อาศัยและของใช้อื่นๆที่จำเป็นแก่ผู้ป่วยและผู้ยากไร้ ในพิธีเปิดโรงพยาบาลไม่ห่างจากปราสาทกอมเปียนญ (Compiegne) ทรงต้อนรับผู้ป่วยที่จนที่สุดเข้ารักษาเป็นรายแรก
พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ในทุกข์สุขของประชาชน ทรงสร้างโรงพยาบาลหลายแห่ง เช่น โรงพยาบาลแก๊งซ-แวงต์ (Quinze –Vingts) รับผู้ป่วยยากไร้และคนตาบอดได้มากถึง 300 เตียง พระองค์หาเวลาเสด็จเยี่ยมและบรรเทาใจพวกเขาเสมอ ทรงทำทานแก่ขอทานหลายร้อยคนทุกๆวัน และเพื่อไม่ให้เสียภาพลักษณ์ราชวงศ์ ทรงอนุญาตให้นำขอทานเข้ามาทางประตูด้านหลังของพระราชวัง
ในบั้นปลายชีวิต พระองค์ทรงแนะนำพระราชโอรสและพระราชธิดาให้มีใจเมตตาต่อผู้ทนทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ พระองค์ตรัสแก่พระราชโอรสว่า ลูกรัก พ่อขอให้ลูกมีใจอ่อนโยนต่อผู้ยากไร้ และผู้ทนทุกข์ทั้งด้านร่างกายและจิตใจเสมอ และตรัสแก่พระราชธิดาว่า ขอลูกจงเมตตาสงสาร แก่ประชาชนผู้ประสบเคราะห์กรรมด้านร่างกายหรือจิตใจ(น.หลุยส์ กษัตริย์ผู้เชื่อศรัทธา :วีณา โกวิทวนิชย์)
ในยุคสมัยใหม่นี้ ความเมตตากำลังสูญพันธ์ เงินตรากำลังถูกนำมาแทนที่และใช้การประเมินวัดค่าความเป็นคนในสังคม แต่สิ่งเหล่านั้นอยู่ได้ไม่นาน ก็ตายไปจากความทรงจำของผู้คน เมื่อใช้วัตถุวัดค่ากันเดี๋ยวก็มีคนที่มีมากกว่ามาแข่งเปรียบค่าให้สูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้แล้วคุณค่ามันอยู่ตรงไหน ใช่หรือไม่ โลกมักจดจำและให้ค่าของคนที่มีเมตตามากกว่าคนที่ร่ำรวยด้วยทรัพย์สิน การมีทรัพย์สินมากๆไม่ใช่เรื่องผิด (หากได้มาจากน้ำพักน้ำแรงและความขยันหมั่นเพียร)  ถ้าหากว่ามีการนำทรัพย์ไปเพื่อก่อเกิดกิจเมตตาน่าจะเป็นหนทางที่ดีเสียด้วยซ้ำไป แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการให้ความเมตตาต่อผู้อื่นนั้นคือ ความจริงใจ อย่าหวังเพียงเพื่อให้ได้ชื่อเสียงและหน้าตา เพราะความเมตตาสร้างแล้วใบหน้าจะผ่องใสด้วยตัวของมันเอง และไม่ใช่เรื่องยากเลยถ้าเราจะเริ่มต้นความเมตตาในตัวตน มอบให้แก่คนที่อยู่รอบข้างเรา มีเมตตาต่อพ่อแม่พี่น้อง ลูกๆ เพราะคนเหล่านี้เรามิอาจจะสร้างภาพลักษณ์เพื่อให้คนอื่นมาเชิดชูเราได้ อย่าปล่อยให้ความเมตตาหายไปจากใจในยุคสมัยที่เต็มล้นไปด้วยวัตถุนี้เลย...

ไม่มีความคิดเห็น: