เป็นคนไหนในโลกที่บอกเราว่า
2+2=5
ในขณะที่กำลังเตรียมเนื้อหาเพื่อไปบรรยายพิเศษที่บ้านเณรใหญ่แสงธรรม
สามพราน ในหัวข้อเรื่อง “นวัตกรรมยุคใหม่ในเส้นทางแห่งความเชื่อ” คิดหาบทสรุปเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ฟังว่าเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร
ที่จะเปิดประตูแห่งความเชื่อออก เพื่อบอกให้โลกได้รับรู้ว่า เรา (ผม/คุณ)...ผู้ที่มีความเชื่อ
คนที่ไว้วางใจในพระ รักความจริง แม้จะอยู่ในสังคมจอมปลอม
สังคมที่ถูกกดทับด้วยการสร้างกระแส
และความต้องการพิสูจน์ทุกเรื่องด้วยตรรกะของสมองคนคิด อย่างลำบากเพียงใด แต่หากมีหัวใจและจิตวิญญาณของเรา(ผม/คุณ)ที่มั่นคง
เราก็อาจจะเป็นประกายไฟเล็กๆที่ส่องสว่างในท่ามกลางความมืดมนก็เป็นไปได้ จึงทำให้คิดถึงคลิปหนังสั้นเรื่องหนึ่ง
เป็นหนังสั้นของอิหร่านชื่อเรื่องว่า “2+2=5” เป็นบทสรุปการบรรยายน่าจะดีที่สุด วันนี้จึงขอนำมาแบ่งปันในที่นี่ด้วย
เรื่องมีอยู่ว่า ....
เหตุการณ์เกิดขึ้นที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในชั้นเรียนที่ถูกสมมุติขึ้น ห้องเรียนสีทึมๆ บรรยากาศชวนให้อึดอัด ครูหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง
สั่งให้ทุกคนเงียบแล้วฟังเสียงครูใหญ่ ที่มองไม่เห็นตัวได้ยินแต่เสียงผ่านเครื่องขยายเสียง
ประกาศให้นักเรียนทุกห้องได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือกับครูที่สอน
อำนาจทั้งหมดขอมอบให้ครู จากนั้นครูหนุ่มคนนั้น ก็จดชอล์คลงบนกระดานดำว่า “2
+ 2 = 5” พร้อมทั้งย้ำให้นักเรียนทั้งชั้นพูดตามว่า
“สอง บวก สอง เท่ากับ ห้า”
ซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนสะกดจิตให้รับรู้ว่า สองบวกสองเท่ากับห้า
หลังจากนั้นมีนักเรียนคนหนึ่งลุกขึ้นโต้เถียงว่า
ก็ครูเคยสอนว่า 2+2 เป็น 4 ครูแก้ว่าต้องตอบใหม่ว่า 5 แล้วครูก็ไปถามอีกครั้ง นักเรียนคนเดิมก็ยังตอบ
4 เหมือนเดิม เขาเข้มแข็งมาก ยืนกรานว่าตอบ 4 จนครูโมโห แล้วต้องออกไปตาม “นักเรียนดีเด่นสามคนของโรงเรียน” เข้ามา ในขณะที่ครูออกนอกห้องไปนั้น เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆในชั้น ต่อว่า นักเรียนคนนั้นที่ตอบคำถาม
ว่า “แกกำลังจะทำให้พวกเราเดือดร้อน!!!”
เมื่อครูกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมนักเรียนดีเด่นของโรงเรียนแห่งนั้น
เพื่อมาฟังคำตอบของเด็กในห้องอีกครั้ง เด็กคนนั้นก็ยังตอบเหมือนเดิม
ครูเลยให้ออกไปเขียนคำตอบบนกระดานหน้าห้อง โดยมีเด็กดีเด่นสามคน ทำท่าเล็งปืนไปยังตัวเด็กคนตอบ
(ปืนที่มองไม่เห็น แต่มันคืออาวุธในการข่มขู่) เด็กคนนั้นก็ยังตอบ 4 เหมือนเดิม
พร้อมกับเสียงปืนลั่นขึ้น หยดเลือดกระเซ็นไปติดกระดานดำ เด็กที่ตอบ 4 นอนตายอยู่ที่พื้น ครูก็ไปลบคำตอบ 4 บนกระดานที่เปื้อนเลือดออก
แล้วเขียนคำตอบ 5 ตัวโตๆ ลงไปแทน
ในท้ายเรื่อง ครูก็ให้นักเรียนท่องๆ
แล้วเขียน 2+2=5 ลงไปในสมุด นักเรียนคนหนึ่งก็เขียนตามบอกไป จนวินาทีสุดท้ายก่อนจบ เขาก็ขีดฆ่าเลข
5 ออก แล้วเขียนเลข 4 ลงไปแทน
“Two And Two” เป็นภาพยนตร์สั้น
ผลงานกำกับโดย บาบัค อันวารี ผู้กำกับชาวอิหร่านที่อาศัยในอังกฤษ ออกฉายเมื่อปี 2011
ได้รับเกียรติให้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ อาทิ
เทศกาลภาพยนตร์เรนแดนซ์ และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติฟอยล์ โดยเมื่อต้นปี 2012
หนังได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงในสาขาภาพยนตร์ขนาดสั้นยอดเยี่ยม
รางวัลบาฟต้า หรือเทียบเท่ารางวัลออสการ์ของสหรัฐฯและได้รับความนิยมอย่างมากในโลกไซเบอร์
ดูหนังสั้นแล้วมาย้อนดูชีวิตอันสั้นๆของเราดูบ้าง ใช่หรือไม่ ในชีวิตจริงของเราเชื่อเสียงที่เราไม่เคยเห็นตัวตนมากมาย
รวมทั้งเสียงภายในของเราด้วยซึ่งก็คือ เสียงของพระเจ้า แต่เอาเข้าจริงเมื่อมีเสียงอื่นๆมาสั่ง
มากล่อม มาหลอก ให้เราหลงตาม เราก็ลืมเสียงภายในที่เป็นเสียงแห่งความจริงที่มีอยู่ในมโนสำนึก
ด้วยความรักตัวกลัวตาย กลัวตกยุค กลัวไม่เหมือนคนอื่นหรือไม่ เราจึงเลือกที่จะเชื่อเสียงที่ทรงอิทธิพลเหล่านั้น
เสียงที่ชี้นกเป็นหนูเราก็เชื่อ แล้วก็ก้มหน้าก้มตาว่าไปตามกระแส
ทั้งๆที่ใจย่อมรู้ว่า “อะไรคือความจริง อะไรคือไม่จริง” สร้างความจริงอันจอมปลอมจนเป็นที่ยอมรับ
ใครไม่เชื่อก็ถูกไล่ต้อนให้ออกไปให้พ้นๆ เราจึงเกิดความกลัว
เสียงแห่งมโนสำนึกจึงลดหายตายจากจิตใจ ปล่อยให้จิตวิญญาณร้างว่างเปล่า...
ในด้านความเชื่อของเราคริสตชน อยู่ๆถ้ามีเสียงที่มองไม่เห็นมาบอกเราว่า
“ไม่มีพระเจ้าจริง
พระเจ้าตายไปแล้ว โลกนี้มีเงินตราเป็นพระเจ้า ละทิ้งความเชื่อเก่าๆซะ” แล้วมานับถือค่านิยมนี้แทน ไม่งั้นอยู่ไม่ได้แน่ในสังคมพร้อมทั้งเตรียมตัวตายได้เลย
เราจะเป็นเด็กคนไหนในห้องเรียนสีทึมๆห้องนั้น เรากล้าที่จะยืนขึ้นแล้วตอบว่า “ข้าฯเชื่อว่ามีพระเจ้าหนึ่งเดียว
เชื่อในพระบุตร พระจิต” หรือว่าเรากลับไปท่องแบบซ้ำๆซาก “เงิน + เงิน =
พระเจ้า” หรือว่าเราเชื่อแบบแอบๆ โดยที่ไม่ให้ใครได้รู้ได้เห็นการเป็นพยานความเชื่อของเรา
แน่นอน การรักตัวกลัวตาย
การเอาตัวรอดเป็นยอดคน เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม คือ สิ่งที่เราต้องเดินตาม
กระแสไหลไปทางไหนเราก็ไปทางนั้น ความเชื่อในพระก็เช่นกัน
เราเชื่อเพราะรู้ว่าสิ่งนี้คือความจริงแน่แท้ หรือเชื่อเพราะเขาบอกให้เชื่อ
เชื่อแล้วกล้าทำตามความเชื่อนั้น หรือแค่แอบๆเชื่อ แอบๆทำ แน่ล่ะ...เราคงไม่กล้าเหมือนมรณสักขีที่ยืนขึ้นพลีเลือดเนื้อ
(ถ้าเราอยู่ในบริบทเช่นนั้นเรากล้าทำได้ก็ประเสริฐ)
สิ่งที่เราจะทำได้ในยุคนี้ เวลานี้ คืออยู่ในโลกทุนนิยม ด้วยคุณธรรมนิยม
อยู่ในยุควัตถุนิยมด้วยวัตรศรัทธานิยม แม้จะเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆก็อาจจะเป็นพลังที่หนุนนำเพื่อให้โลก
ให้สังคมส่วนใหญ่ไม่เอนเอียงไปมากกว่านี้...
“เรารับไม่ได้ที่เกลือจะกลับกลายไร้รสชาติและแสงสว่างจะถูกเก็บซ่อนไว้” (เทียบ มธ.
5:13-16) สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่
16 ทรงประกาศให้มีปีแห่งความเชื่อด้วยประโยคสำคัญนี้..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น