วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

หัวใจออนไลน์


หัวใจออนไลน์
ผ่านช่วงปีใหม่ไปหมาดๆ ผู้คนก็กลับมาสู่วงจรชีวิตเดิมๆ หลังจากได้มีวันเวลาหยุดพักเพื่อเพิ่มเติมบางสิ่งที่หล่นหายไปในช่วงวันเวลาระหว่างปี หลายคนที่เคยทำงานจนไม่มีเวลาหยุดพัก พอได้เว้นวรรคในช่วงปีใหม่ก็กอบโกยการพักผ่อนหย่อนกายหย่อนใจกันอย่างเต็มที่ หลายคนมีเวลาได้นั่งพักทักทายเพื่อนฝูง ได้ตั้งวงสนทนาภาษาคนคุ้นเคยที่ไม่ค่อยได้คุ้นคุยกันมานาน แบ่งปันทุกข์ระหว่างปีสุขในวันวาน ช่วงเวลาข้ามผ่านปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว มีอะไรเพิ่มเติมเข้ามาในชีวิตเราบ้าง คุณค่าของวันเวลาอาจจะอยู่ที่สัมพันธภาพระหว่างผู้คนได้กลับคืนมา เพราะพอกลับเข้าสู่วงโคจรแห่งวิถีชีวิตปกติ เราก็มักใช้เวลาหมดไปกับสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าเทคโนโลยีมากกว่าสิ่งสร้างทางธรรมชาติ...
ช่วงวันเวลาหยุดพักที่ผ่านมา หลายคนเลือกที่จะปิดการสื่อสารทางเครือข่ายในอากาศ แต่เปิดสายใยแห่งความผูกพัน อยู่ท่ามกลางผู้คน รับไออุ่นส่งไอรักแบ่งปันความสุขกันและกัน แต่มีไม่น้อยเลือกที่จะบอกเล่าถึงความอิ่มเอมจากสิ่งที่ได้รับเพิ่มเติมผ่านทางเครือข่ายส่งสารผ่านมาทางอากาศออนไลน์ บอกเล่าทุกหนแห่งทุกที่ทางที่ผ่านพบ ให้เพื่อนๆอีกฝากฝั่งได้รับรู้ ชีวิตติดหนึบกับเทคโนจนคุ้นชิน จะขาดจากกันเพียงเสี้ยวนาทีเสียมิได้ ครั้นยามที่ไปในท้องถิ่นที่ไร้คลื่นไร้เครือข่าย ก็ดูคล้ายจะหงุดหงิด เปิดเครื่องเช็คส่องส่ายหาสัญญาณ โดยหลงลืมที่จะเก็บเกี่ยวสิ่งรอบข้างที่ผ่านพบ หรือปล่อยผ่านให้มิตรภาพที่อยู่ต่อหน้าต่อตาตกหล่นหายไปอีกคำรบหนึ่ง เข้าตำราที่ว่า ทางนั้นก็ไม่ได้ทางนี้ก็ไม่ดี..
มีการสำรวจพบว่า นิวมีเดียมาแรง (สังคมเครือข่าย) คนไทยใช้เวลาบนสื่อออนไลน์แซงหน้าสื่อหลัก ใช้เฟสบุ๊คอันดับ 5 ของโลก ทวิตเตอร์อันดับ 7 ในเอเซีย ยิ่งช่วงน้ำท่วม มีคนใช้สมาร์ทโฟน (โทรศัพท์ที่สามารถเข้าระบบอินเตอร์เน็ตและสังคมเครือข่ายได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส) มากขึ้น มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่อผู้บริโภคเป็นอย่างดี แต่ก็กลับพบว่าคนไทยยังไม่เข้าใจเรื่องที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องของละคร คนไทยจะสนใจเรื่องละคร มากกว่า 70 % ตรงนี้แสดงถึงการรับรู้ที่ยังให้ความสำคัญกับสื่อบันเทิงมากกว่าสื่อด้านความรู้
เพราะการเสพสื่อเทคโนโลยีนั้น มันจะเป็นเหมือขนมเค้กอันหอมหวาน  เป็นเพียงความรู้รอบตัว คือรู้เอาไว้ แล้วก็จบกันไป ไม่มีการพูดถึงต่อ เพราะมันผ่านมาแล้วผ่านไปนี่คือพฤติกรรมบริโภคของคนไทย
การรับรู้เรื่องราวเทคโนโลยี คนไทยจะมองว่ามันเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เข้าใจยาก การตีความหมายให้ง่ายมันอาจจะต้องอาศัยตรรกะต่างๆ มาเป็นตัวเชื่อมโยง รวมไปถึงองค์ความรู้ในหลายๆ ด้าน ซึ่งไม่แปลกเลย ที่การรับรู้ของคนไทยส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นรับสื่อที่เข้าใจง่าย สนุก ตลก มีความขบขันในตัวมันเอง นั่นไม่แปลกเพราะมันเป็นเรื่องที่เบาสมอง  ซึ่งคนไทยชอบที่จะบริโภคสิ่งเหล่านี้มากกว่า มันก็เลยกลายเป็นแนวโน้มการรับรู้ด้านเทคโนโลยีของคนไทยโดยรวมนั้นมีน้อยมาก
การใช้เทคโนโลยีนั้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง มีทั้งใช้เพื่ออยากเท่ หรือใช้เพราะประโยชน์ใช้งาน บางคนมีเทคโนโลยีในมือที่สุดล้ำแต่ไม่สามารถที่จะใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้ บางคนขวนขวายเพื่อที่จะให้ได้เทคโนโลยีมาเพื่อประโยชน์ของตัวเอง....(ข้อมูลบางส่วนจาก hitech.sanook.com)
ใช่หรือไม่ การส่งเสริมให้ทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจด้านเนื้อหาและทำความเข้าใจอย่างจริงจัง สิ่งที่ได้รับตามมา คือ การใช้กันแบบตามใจ ใช้เพียงเพื่อเสพสิ่งบันเทิง หลายคนเสียเวลาในแต่ละวันเพื่อออนไลน์ไปมากมาย เมื่อเทียบกับเวลาที่ต้องทำงานจริงแล้วคงจะเกินครึ่งเสียด้วยซ้ำ มองในด้านผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการ ผู้บริหาร เราสูญเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อกิจการไปมากมิใช่น้อย มองให้กว้างไปในระดับโลก วันนี้โลกเราเต็มไปด้วยเรื่องไร้สาระมากมายล่องลอยอยู่ในอากาศ เราสูญเสียทรัพยากรเพื่อรองรับกับสื่อออนไลน์ไปก็ไม่น้อยเหมือนกัน มีแต่ขยะ กากดิจิตอลเต็มเครือข่ายไร้สาย
มีการคิดค้นระบบการแบ่งปันข้อมูล (Share) เพื่อให้การ ส่ง-รับ ข้อมูลไปให้ทั่วถึง ซึ่งมองในมุมที่สร้างสรรค์นี่เป็นการแบ่งปันและเอื้ออาทรกันของผู้คนทั้งโลก แต่วันนี้เรากลับนำการ Share มาเป็นการ Show ตัวเองเสียมากกว่า เป็นการโอ้อวดและการเผยถึงพฤติกรรมให้สาธารณชนได้รับรู้ เป็นการแสดงตัวตน ทัศนะคติและอคติต่อสิ่งรอบข้างให้ผู้อื่นได้รับรู้ และพูดคุยสนทนากันแต่ในเรื่องที่ไม่ค่อยประเทืองปัญญาและจิตวิญญาณ เราไม่ค่อยได้แบ่งปันคำสอน แบ่งปันกำลังใจให้ต่อกันมากนัก...
โดยปกติแล้ววันๆหนึ่งเรามีเวลาเพื่อสำรวจตัวเอง หาข้อบกพร่อง ทะเลาะกับตัวตนมากน้อยเพียงใด ยิ่งพอมีเทคโนโลยีที่สามารถออนไลน์ได้ 24 ชั่วโมงด้วยแล้ว เวลาเหล่านั้นย่อมหดหายลดลงไปจนแทบไม่เหลือ แล้วที่สุด เราจะมีเวลาเหลือพอให้พระได้สักกี่วินาทีต่อวัน (ขอย้ำว่า กี่วินาที) ใช่หรือไม่ เราออนไลน์ทั้งวันแต่ใจเรากลับออฟไลน์ให้กับพระเจ้า เรารอคอยให้เพื่อนๆและผู้คนทักทาย Comment ใน Status เราทั้งวัน แต่เรากลับไม่เคยที่จะทักทายพระเจ้าผู้ออนไลน์ตลอดกาลบ้างเลย... Status ของพระองค์ทรงตั้งไว้ว่า รักและอภัย ช่วยเข้าไปกด like สักหน่อยได้ไหม และนำไปปฏิบัติด้วย จะได้เพิ่มสมาชิกในสวรรค์ให้กับพระองค์พระบิดาผู้ใจดีมากขึ้นมากขึ้น....
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20

ไม่มีความคิดเห็น: