วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ฟ้าไร้เมฆ

 ฟ้าไร้เมฆ
สายๆของวันพุธที่ 6 ก.ค. 54
รถติดหนึบอยู่บนสะพานตากสิน ในวันที่อากาศตอนกลางวันร้อนมากถึงมากที่สุด ถึงแม้จะเปิดแอร์รถยนต์จนสุดแรงเป่าก็ไม่อาจจะทุเลาความร้อนที่ปกคลุมลงมาได้เลย ชะโงกหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผ่านกระจกรถ ท้องฟ้าวันนี้ดูสะอาด สดใส ว่างๆไร้เมฆหมอกมารบกวนทางสัญจรแสงแห่งอาทิตย์ มันช่างแตกต่างจากช่วงยามเย็น ช่วงเลิกงานในหลายๆวันที่ผ่านมา ที่ฟ้าปล่อยใจร้องไห้ออกมาเป็นสายฝน คนสัญจรต้องจอดรถบนถนนหนทางอย่างยาวเหยียด แต่ก็ฉ่ำเย็นจนถึงขั้นเหน็บหนาว และก่อนที่ฟ้าฝนจะเทกระจาย สิ่งหนึ่งที่เราพบเห็นเสมอ นั่นคือ มีเมฆดำก่อตัวรวมกันเพื่อให้เกิดพลังฝน เคลื่อนไปบดบังแสงแดด ก่อให้เกิดภาวะขมุกขมัว ..
 ท้องฟ้ามีหลายลักษณะแล้วแต่เราจะเลือกมอง เลือกคิด ท้องฟ้าของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ของคนนั้นอาจจะเป็นสีเทาๆเหมือนฝนจะตก ของอีกคนอาจจะเป็นสีเหลืองทองอร่ามยามเย็น อีกคนอาจจะเป็นสีฟ้าจ้าสดใส นั่นเป็นเพราะว่า แต่ละคนเงยหน้าขึ้นมองฟ้าไม่พร้อมกัน และมุมมององศาที่ต่างกันออกไป หรือว่าบางคนอาจจะไม่เคยเงยหน้าขึ้นมองฟ้าเลยก็มี...ท้องฟ้าที่บางวันครึ้มบางวันคลายสลายใส นี่ใช่หรือไม่ ย้ำเตือนเราไม่ให้ยึดมั่นในความผันแปร?
จิตใจคนเราก็เป็นเช่นท้องฟ้ามีเวลาหม่นหมองไม่ผ่องใส มีเวลาเริงรื่นชื่นหัวใจ
ในแต่ละวันที่ผันผ่าน มีเมฆหมอกมากมายหลายชนิดที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านพ้นไป หากว่าเราจะทำใจให้เหมือนฟ้าที่ไร้เมฆหมอก ให้ดอกหมอกที่รกรุงรังผ่านไปได้บ้างไหม!!! อย่าไปยึดอย่าไปแย่งแข่งขันเก็บกลีบเมฆดอกหมอกมาครอบครอง ซึ่งดูแล้วมันอาจจะมีขนาดใหญ่โต แต่เมื่อพยายามจะไขว่คว้ามาครอบครอง ก็มิอาจได้อะไรติดมือ แต่จะว่าไปคนเราทุกยุคทุกสมัย ต่างก็พยายามปั้นเมฆปั้นหมอก แอบอ้างหมายที่จะยึดครองเป็นของตัวเอง ที่สุดแล้วเราก็ยังสรุปไม่ได้สักทีว่า ก้อนเมฆนั้นเป็นของใคร ??? เราก็รู้ทั้งรู้ แต่ก็มิอาจที่จะหยุดเข้าไปคลุกกับเมฆหมอก เมื่อมีเมฆหมอกมากก็ย่อมทำให้หม่นหมอง แล้วก็พบเจอกันแต่ความทุกข์...
บางคนอาจจะพูดว่า ท้องฟ้าที่มีแต่สีฟ้าสดใส ถ้าไร้เมฆหมอก ดูไม่สวย  เฉกเช่นกับชีวิตคนเราคงจะไม่สวยงาม ถ้าไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคมาขวางกั้นเลย นี่...ก็ถูกต้อง หากแต่ว่าเรามีศิลปะในการดำเนินชีวิต รู้จักที่จะถักทอกลีบเมฆดอกหมอกให้สวยงาม รู้จักที่จะนำปัญหาเพื่อสร้างปัญญาได้อย่างไร นี่ต่างหาก คือ สิ่งที่ต้องพัฒนาอยู่ทุกวัน ในชีวิตจริงของผู้คนมีเพียงไม่กี่คนที่ค้นพบทางเยี่ยงนี้ เห็นมีแต่วิ่งวุ่น ว้าวุ่นอยู่กับการสร้างเมฆหมอกเทียมๆเพื่อประดับศักดา ส่งเสริมบารมี โดยไม่รู้เลยว่า แท้จริงแล้วแสงที่เปล่งออกมานั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของแสงที่ถูกบดบังด้วยความอยากใหญ่ อยากเด่นดัง
สิ่งแวดล้อมและบุคคลต่างๆ อาจจะเป็นเมฆหมอกมาบดบังความสว่างในชีวิตเราได้ แล้วเราล่ะเคยเป็นเมฆหมอกเข้าไปปกคลุม ครอบครอง บดบัง ใครบ้างหรือเปล่า มันย่อมต้องมีบ้าง ที่เราไปสร้างให้ชีวิตคนอื่นพบแต่ฤดูกาลแห่งความเศร้าหมอง มีบางช่วงเวลาที่เราไปยึดติดคิดว่าเราเป็นเมฆหมอกเพื่อบังแสงให้ร่มเงาแก่ผู้อื่น แต่ไม่เคยรับรู้เลยว่า การเป็นเมฆหมอกแบบนั้นมันไปทำให้อีกหลายคนอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว ไปทำให้เพื่อนฝูงคนรอบกายอยากจะผละหนี ออกจากเงาร่มที่มาบดบัง ใช่หรือไม่...หลายครั้งเราก็อยากมองฟ้าที่ไร้เมฆ ในขณะที่คนอื่นต้องการฟ้าปนเมฆ หรือบางคราวเราต้องการฟ้าฉ่ำฝนในขณะที่คนอีกเป็นจำนวนมากต้องการฟ้าใสๆ..
การมองท้องฟ้าก็คล้ายๆกับการมองชีวิต หลายคนลืมคิดที่จะกลับมานั่งมองทบทวนว่ามีอะไรบ้างผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ท้องฟ้าของเราต้องเผชิญมรสุมกี่ครั้ง แดดออกสดใสไร้เมฆมากี่หน มีฝนพรำให้ความสดชื่นหรือสร้างความรำคาญให้ใครมาบ้าง มีสายรุ้งเจ็ดสีมาแต้มแต่งให้งดงามแล้วกี่ครั้ง  เราจะเป็นฟ้าหลังฝนที่ใสสดหรือเป็นฟ้าก่อนฝนที่มีแต่หดหู่และน่าหวาดกลัว
ใช่...บางคนอาจจะบอกว่าฟ้าที่ไร้เมฆมันมีแต่จะนำพาความร้อนรุ่มมาให้ นั่นก็เพราะเรามองในมุมของกายภาพ แต่ถ้าเรามองในมุมของจิตใจ ฟ้าที่ไร้เมฆหมอกก็เป็นฟ้าใสสด มองเห็นทุกสรรพสิ่งได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น มีแต่ความสว่างกระจ่างใส และสามารถพบเห็นความจริง ในบางมุมบางแง่ของชีวิตที่สวยงาม ชีวิตมีแง่งามให้มองได้เสมอ เพียงแต่ว่าเราเลือกที่จะมองอย่างไร มองฟ้ายังได้แง่คิด แล้วถ้ามองชีวิตให้ดีเราย่อมพบเจอหนทางที่จะพาเราไปสู่สันติสุขได้
ทุกช่วงเวลาที่เราได้มีโอกาสเฝ้ามองเห็นความเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้า อาจโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ทุกสิ่งล้วนทรงคุณค่า เราเห็น เราได้ยิน เราได้สัมผัส แล้วสิ่งต่างๆเหล่านั้นเข้าไปทำให้จิตวิญญาณของเราเติบโต นี่ก็เป็นการเรียนรู้โลก เรียนรู้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ ในทุกสรรพสิ่งมีคำสอน บนฟ้ากว้าง ในทะเลลึก ในสายลม ในแสงแดด แม้แต่ในวันที่ฟ้าไร้เมฆ ในการมองเห็นท้องฟ้าเพราะฟ้าในแต่ละวันไม่เคยเหมือนกัน ชีวิตผู้คนในแต่ละวันก็เช่นกัน ล้วนไม่เคยเหมือนกัน ทั้งในแต่ละห้วงอารมณ์ความรู้สึก ที่สุดในการฟังเสียงและคำสอนของพระเยซูเจ้าผ่านผู้แทนของพระองค์ แต่ละคนได้แง่คิดไม่เหมือนกัน ใครที่ได้รับฟังแล้วไปทำตามย่อมเกิดผล แต่ใครฟัง อ่านแล้ว ผ่านไป ก็ไม่เกิดผล แล้วเราเคยรู้สึกหรือไม่ว่า สิ่งที่เข้ามาในแต่ละวินาที เพิ่มพูนสิ่งดีๆให้กับชีวิตเรามากน้อยเพียงใด...

ไม่มีความคิดเห็น: