วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

หวังอะไรในบุญ

หวังอะไรในบุญ
ณ ตลาดสดแห่งหนึ่งใกล้ๆบ้านพัก ขณะที่กำลังจะเดินไปรับของที่มีการนัดหมายกันเอาไว้ ท่ามกลางทางเดินมีผู้คนเดินจับจ่ายอย่างแออัด เดินเบียดเสียด แต่...ถึงตรงนั้นทุกคนต่างแยกทางออก บ้างก็เบี่ยงตัวหลบฉาก บ้างก็เบนสายตาไปยังจุดอื่น บ้างก็มองแบบงงๆแล้วก็เดินผ่านไป และเมื่อถึงคราวที่เราต้องก้าวไปยังจุดนั้น ภาพที่เห็น คือ ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นกำลังเหวี่ยงสิ่งๆหนึ่ง ที่อยู่ตรงกลางระหว่างแขนทั้งสองข้างไปมาอย่างแรง สิ่งเล็กๆที่มีชีวิตนั่นคือทารกน้อยวัยไม่ถึงขวบที่กำลังส่งเสียงร้องเพื่อเรียกความสนใจแก่ผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาตามต้องการของผู้หญิงคนนั้นอย่างไร้เดียงสา แทนที่จะได้เงินจากความสงสาร หญิงคนนั้นกลับได้แต่เสียงดูแคลนในความใจร้ายใจดำทำได้แม้กระทั่งเด็กเล็กๆ สิ่งนี้มันทำให้เราต้องมองผ่านไปอย่างใจจืดใจดำ ….
แล้วก็จำต้องเดินย้อนกลับมาสู่ทางเดิม แต่เราก็เลือกที่จะไม่ทำอย่างเดิมได้ใช่ไหม... ยิ่งเห็นเด็กคนนั้นร้องไห้เสียงดัง สตางค์จากกระเป๋าจึงถูกส่งลงกระป๋อง แต่เธอหญิงคนที่อุ้มเด็กกลับไร้ปฏิกิริยา ไร้การตอบสนอง จดจ่อกับการขืนใจให้เด็กส่งเสียงร้องไห้ออกมา ไม่มีคำขอบคุณ ไม่มีคำอวยพร ไม่สนใจใยดี ความรู้สึกแรกๆเกิดไม่สบอารมณ์อย่างมาก ทำไมไม่รู้จักที่จะขอบคุณกันบ้าง ระหว่างทางเดินเข้าบ้านพลันหวนคิดถึงคำพูดของพระสงฆ์ท่านหนึ่งที่เคยเทศน์สอนไว้ว่า “การที่ทำบุญให้ใครก็ตาม เราไม่จำเป็นต้องได้รับความขอบคุณ ไม่ใช่นั้นแล้วเราจะไม่ได้รางวัลจากพระเจ้าเพราะได้รับจากคนที่ให้แล้ว และไม่จำเป็นต้องไปคิดว่า คนนั้นจะหลอกเราหรือไม่ เดือดร้อนจริงหรือเปล่า หรือกลัวว่าเราถูกหลอก หากคิดจะทำบุญก็เพียงเพื่อให้ได้บุญก็เพียงพอ ส่วนใครจะมาหลอกลวงเรา เขาผู้นั้นย่อมได้รับผลแห่งการหลอกลวงนั้นจากสวรรค์
ใช่หรือไม่ เวลาที่เราจะทำอะไรก็หวังจะได้รับการตอบแทนไม่มากก็น้อยด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งการทำความดี หรือการทำบุญ หลายคนก็หวังที่จะสร้างชื่อสร้างเสียง เสริมบารมีจากการบริจาค ทำไปทำมากลายเป็นค่านิยมที่สะสมยอดให้สูงๆเพื่อจะได้มีคนยกย่องในจิตใจแห่งการเสียสละอันยิ่งใหญ่อะไรประมาณนั้น แต่ในความเป็นจริงบุญกุศลที่เราทำมิได้ขึ้นอยู่ที่มูลค่า มันอยู่ที่คุณค่าแห่งการเสียสละต่างหาก ทำบุญทำความดีจากใจจริงสิ่งนี้คือกุศลอันประเสริฐสุดที่ไม่มีอะไรมาวัดค่าตีความได้
ครั้งคุณพ่อท่านหนึ่งได้รับมอบหมายให้ไปอภิบาลยังวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งร้างไร้ผู้ดูแลและเทศน์สอนมายาวนาน ท่านเทศน์สอนได้อย่างประทับใจเป็นที่ชื่นชอบจนได้รับความเคารพศรัทธายิ่งนัก ทุกครั้งที่มีพิธีมิสซา และการเทศนา ล้วนมีผู้คนมารอฟังอย่างเนืองแน่นจนกลายเป็นแออัด จึงมีผู้เสนอให้ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อสร้างวัดแห่งใหม่ให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับผู้มีศรัทธาจำนวนมากให้ได้มาร่วมพิธีมิสซา
เมื่อเห็นตรงกันจึงได้ทำการเปิดรับบริจาค มีชายผู้หนึ่งนำเงินสิบล้านมาบริจาคทันที โดยระบุว่าขอร่วมบริจาคเงินสร้างวัดแห่งใหม่ คุณพ่อจึงรับเงินมาแล้วก็เก็บไว้ จากนั้นลงมือทำกิจวัตรประจำวันต่อไปตามปกติ ชายผู้บริจาคเงินก้อนใหญ่เห็นดังนั้นรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง เนื่องเพราะเขาเห็นว่าเงินสิบล้านจัดว่ามากโข คนธรรมดาสามัญ หาเช้ากินค่ำสามารถใช้เงินจำนวนนี้ดำรงชีวิตได้อย่างสุขสบายหลายปีทีเดียว ทว่าคุณพ่อท่านนั้นกลับรับเงินไปด้วยท่าทางเฉยเมย ไม่มีการอวยพร ไม่มีแม้แต่คำว่า “ขอบคุณ”
เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายผู้นี้จึงเดินไปเน้นย้ำต่อคุณพ่อว่า “คุณพ่อครับ ผมนำเงินมามอบให้ถึงสิบล้านเชียวนะ”
คุณพ่อได้ยินดังนั้น ก็ตอบกลับด้วยอาการสงบว่า “เราทราบดี เพราะท่านบอกเราแล้ว”
จากนั้นจึงเดินต่อไปโดยไม่หันกลับมาอีก ชายผู้นั้นเห็นดังนั้นจึงขึ้นเสียงสูงร้องว่า “นี่ท่านครับ! วันนี้ ผมมอบเงินทำบุญถึงสิบล้าน ไม่ใช่เงินน้อยๆเลย แค่คำขอบคุณสักคำท่านก็กล่าวเพื่อตอบแทนข้าไม่ได้เชียวหรือ?
คุณพ่อท่านจึงได้หยุดและกล่าวว่า “ท่านทำบุญเพื่อเพิ่มพูนศีลธรรมบารมีให้ตัวท่านเอง แล้วเหตุใดเราต้องขอบคุณท่านด้วยเล่า”  (ดัดแปลงจากนิทานเซน)
การทำบุญเพื่อสร้างบารมีก็เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง การทำดีเพื่อให้ได้คำชื่นชอบก็เป็นการเอาหน้าโอ้อวดชนิดหนึ่งเช่นกัน ในยุคที่เรามักวัดค่าทุกการกระทำออกมาเป็นรูปธรรม ย่อมหนีไม่พ้นในการที่ผู้คนต้องเห็นผลตอบแทนในทุกเรื่องทุกการกระทำ สิ่งนี้กลายเป็นความชาชิน เป็นค่านิยมไปเสียแล้ว ชอบแข่งกันบริจาคเพื่อให้มีชื่อติดผนังข้างฝา แข่งกันประมูลบุญ เพื่อให้คนทึ่งในความหน้าใหญ่ใจกล้าบ้าบุญ เราจึงมักเห็นคนมีตังค์ออกสื่อมากกว่าคนที่ทำงานอุทิศตนรับใช้สังคมในมุมเงียบๆ คนรุ่นหลังจึงถูกปลูกฝังให้บริจาคมากๆเพื่อจะได้รับคืนมาให้มากร้อยเท่าทวีคูณ โดยหลงลืมแก่นแท้ของการทำบุญที่มาพร้อมกับความรักและการเสียสละ..
 แล้วเรามาลองนึกดูให้ดีๆ พิจารณาด้วยหัวใจ ด้วยจิตวิญญาณแห่งการเป็นลูกพระ เป็นศิษย์พระเยซูเจ้า เราทำบุญทำความดีวันนี้เราหวังอะไร ใช่หรือไม่...เราก็หวังแค่เพียงให้เรากลับไปหาพระองค์ร่วมอยู่กับพระองค์อย่างสงบสุขในวันสุดท้าย แล้วเรายังไปหวังอะไรนอกเหนือจากนี้อีกเล่า หรือว่าหวังเพียงใบเสร็จบุญเพื่อเบิกทางสู่สวรรค์ ถ้าคิดจะทำบุญก็ทำเลยอย่าหวังสิ่งตอบแทนในโลกนี้.....

ไม่มีความคิดเห็น: