ปัญหาอ่อน ปัญญาแข็ง ภาค 1
ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กนักเรียน นักศึกษากำลังสอบปลายปีการศึกษา เห็นหลายคนบ่นออกเสียงบนสื่อเครือข่ายสมัยใหม่ว่าเบื่ออ่านหนังสือ เครียด อ่านไม่รู้เรื่องทำให้ย้อนนึกถึงตัวเองเมื่อยังอยู่ในวัยเรียนแบบนี้ ก็เป็นเช่นเดียวกัน เบื่อที่จะอ่านหนังสือ เครียดขณะเตรียมสอบ ไม่ค่อยมีสมาธิ ซึ่งในขณะนั้นเครื่องมือสื่อสารการบ่นยังไม่ถึงขั้นนี้ ก็ยังพอทำเนาให้เรามีสมาธิอยู่บ้าง ครั้นเห็นเด็กๆสมัยนี้อ่านไปเล่น facebookไปใจก็คิดว่า แล้วจะเอาสมาธิจากไหนมาอ่านกันล่ะเนี้ย ก็ฝากน้องๆไว้ด้วย ปิดสื่อเปิดหนังสืออ่านเพื่อวันข้างหน้าเราจะมีปัญญาที่แข็งแรงขึ้น ด้วยความปรารถนาดีจากผู้ที่เคยผ่านทางมาก่อน
การศึกษาที่ปลูกฝังลงในสังคมเราเป็นการศึกษาแบบท่องจำ ไม่ได้สอนให้เข้าใจ เด็กไทยจึงมักจำเก่ง แต่ไร้ความเข้าใจ การศึกษาขั้นสูงก็เพียงหวังใบประกาศและคำนำหน้าที่ดูโก้หรู แต่เอาเข้าจริงเราก็พบแต่นักวิชาการที่อิงแอบอยู่กับหลักการมากเกินงาม มีแต่คนรู้ที่ปฏิบัติไม่เป็น หรือมีแต่พวกชื่นชอบ แต่ไม่เชี่ยวชาญ แถมชอบโชว์อีกต่างหาก สังคมจึงเต็มไปด้วยหลักการจากปากมากกว่าเหตุผลจากหัวใจของผู้คน
การเรียนเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น การเรียนรู้ที่ปราศจากความเข้าใจ เวลาพบเจอปัญหาแข็งๆก็เกิดปัญญาอ่อนแก้ไขกันไม่เป็น ยิ่งการเรียนรู้ในสิ่งที่ถนัด สิ่งที่ชื่นชอบ เพื่อให้เชี่ยวชาญเป็นคุณอเนกอนันต์ พระเจ้าทรงสร้างเราให้แตกต่าง ชื่นชอบในสรรพศาสตร์ ในสรรพสิ่งที่ไม่เหมือนกัน และเมื่อหลอมรวมกัน ความเป็นหนึ่งจึงนำพาโลกให้ก้าวหน้ามาถึงวันนี้
เมื่อถึงตรงนี้อยากจะนำเอาประวัติของบุคคลสองคน ที่สร้างโลกด้วยปัญญาอย่างยิ่งใหญ่ เรียนรู้ด้วยความเข้าใจ มากกว่าเรียนเพื่อให้จบ เรียนเพื่อให้ได้ใบประกาศ ทั้งๆที่สองคนนี้เกิดคนละยุค แต่มีความเชื่อมโยงกัน เชื่อมโยงอย่างไร ติดตามอ่านความเป็นมาและแง่มุมการศึกษาของทั้งสองคนได้เลย คนแรกคือ โทมัส อัลวา เอดิสัน
เมื่อตอนอายุ 8 ขวบ เอดิสัน เข้าเรียนในชั้นประถม เป็นโรงเรียนเล็กๆมีครูเพียง 2 คน แต่ด้วยความที่เอดิสันสนใจสิ่งรอบๆตัว จึงมักชอบถามครูนอกตำรา ครูจึงเรียกเขาว่า “เด็กหัวขี้เลื่อย” เมื่อแม่ของเขาทราบเรื่อง จึงไปพูดคุยกับคุณครู ทำให้เอดิสันต้องออกจากโรงเรียน แม่จำต้องเป็นผู้สอนเองที่บ้าน เอดิสันได้เรียนในโรงเรียนร่วมกับเพื่อนๆได้เพียง 3 เดือน เอดิสันเคยกล่าวไว้ว่า “แม่เป็นผู้สร้างเขาขึ้นมา เธอเชื่อในความเป็นตัวเขา และเป็นกำลังใจให้เขาใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็งตลอดมา และเขาจะไม่ยอมทำให้แม่ผิดหวัง” ทั้งๆที่ช่วงชีวิตในวัยเด็กของเอดิสันนั้นลำบากมาก เป็นทั้งคนขายหนังสือพิมพ์ ขายขนม และผักบนรถไฟ อีกทั้งยังประสบอุบัติตุทางการได้ยิน
พ่อแม่ของ เอดิสัน สร้างห้องทดลองไว้ใต้บ้าน เอดิสันทดลองทุกอย่างที่เขาต้องการรู้ อ่านหนังสือวิทยาศาสตร์ทุกเล่ม จนกระทั่งเขากลายเป็นนักประดิษฐ์ที่ชาวโลกรู้จักกันดี ในฐานะผู้คิดค้นหลอดไฟได้เป็นคนแรกของโลก แล้วเขายังมีนวัตกรรมอันเป็นผลงานสร้างสรรค์อีกมากมาย และในช่วงเวลา 84 ปีที่เขายังมีลมหายใจ เอดิสันยังได้มองไกลถึงนวัตกรรมของเขา ว่าจะทำให้โลกอนาคตเปลี่ยนแปลงไป เขาเขียนคำทำนายไว้หลายอย่าง
“คำทำนาย” ของเอดิสัน เมื่อ ปี 1911 มีอะไรเกิดขึ้นจริงแล้วบ้างในปี2011 หนึ่งในคำทำนายนั้นคือ หนังสือจะทำจากโลหะ เอดิสันได้จินตนาการว่า หนังสือในอนาคตจะไม่ใช้กระดาษ หากแต่เป็นโลหะนิเกิลแทน และหนังสือนิเกิลนี้จะมีราคาถูกกว่า แข็งแรงกว่าและยังเป็นวัสดุที่ยืดหยุ่นได้มากกว่ากระดาษ
แน่นอนว่าเอดิสันไม่มีทางรู้จัก “หมึกอิเล็กทรอนิกส์” (e-ink) ที่กลายเป็นตัวอักษรแห่งโลกดิจิทัล แต่เขาก็ได้มองไกลไปเกินกว่าหนังสือที่เขาถือไว้ในมือเสียอีก และนิเกิลก็ใช้ทำสแตนเลสสตีลเป็นมันวาว เหมือนอุปกรณ์อิเล็กทริกส์ ทั้งคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ตที่เราแทบจะใช้แทนหนังสือกันไปแล้ว และสิ่งที่โด่งดังแห่งศตวรรตนี้คงนี้ไม่พ้น ไอแพด กระดานอิเล็กทรอนิกส์
และด้วยกระแสความแรงของไอแพดและไอโฟนสี่ ในปี 2553 ทำให้คนทั่วโลกจับตามองผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของบริษัทแอปเปิ้ลมากขึ้น แต่บุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านี้ คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก สตีฟ จ็อบส์ ทำให้หลายต่อหลายคนยกให้เขาเป็นบุคคลแห่งปี 2553
แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่เรื่องของนวัตกรรมที่เขาค้นคิดขึ้นอย่างเดียว ความเป็นมา การเรียนรู้ การใช้ปัญญาของเขาน่าสนใจยิ่งกว่า นายสตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) ที่มีชื่อเสียงทั่วโลกในฐานะผู้ก่อตั้งแอปเปิ้ล ตัวเขาเองไม่เคยเรียนจบมหาวิทยาลัย เพราะได้ลาออกหลังจากเรียนในมหาวิทยาลัยรีด (Reed College)ได้เพียง 6 เดือน เหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยนั้น มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เขายังไม่เกิด เพราะแม่ที่แท้จริงของเขาซึ่งเป็นนักศึกษาสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานไม่ต้องการเลี้ยงดูเขา และตัดสินใจยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่นตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก แต่เธอมีเงื่อนไขว่าพ่อแม่บุญธรรมของลูกของเธอจะต้องเรียนจบมหาวิทยาลัย และเขาเกือบจะได้เป็นลูกบุญธรรมของนักกฎหมายที่จบมหาวิทยาลัยและมีฐานะดี ถ้าเพียงแต่พวกเขาจะไม่เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายว่า พวกเขาไม่ต้องการเด็กผู้ชาย (อ่านต่อ ตอน 2 สัปดาห์หน้า พร้อมบทสรุปของเรื่องนี้ครับ) ผู้มีปัญญาสร้างบ้านบนหินผา แต่คนมีปัญหามักสร้างบ้านให้สวยเด่นโดยไม่ได้ใส่ใจเรื่องโครงสร้างและฐานรอง....
1 ความคิดเห็น:
บทความนี้....โดนใจอย่างแรงค่ะ
ขอบคุณนะคะ ^^
แสดงความคิดเห็น