วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

ด้วยแรงภาวนา


ด้วยแรงภาวนา


ภาพเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 140 ปีเมื่อวันศุกร์ที่11 มีนาคมที่ผ่านมา วัดแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 8.9 ริกเตอร์และมีศูนย์กลางใกล้กับชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ สูงถึง 10 เมตรซัดถล่มหลายจังหวัดบนเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ ทำให้เราเห็นภาพเหล่านั้นหลังจากเกิดเหตุการณ์เพียงไม่กี่ชั่วโมง หลายคนบอกว่าภาพที่เห็นเหมือนกำลังดูหนัง คลื่นน้ำค่อยๆไหล (แต่รุนแรง) พัดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่างกั้น บ้าน ตก รถยนต์ เคลื่อนไปตามแรงส่ง แล้วมาบรรจบกัน รวมพลังไหลต่อไปจวบจนมันอ่อนแรงสร้างความเสียหายอย่างมาก


มนุษย์ได้คิดค้นเครื่องสื่อสารที่ทันสมัย เหตุการณ์จริงๆถูกส่งไปให้คนทั่วโลกได้ดูโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน แต่แปลกใจไหม!!! ยังไงมนุษย์เราก็ยังไม่สามารถคิดเครื่องมือคำนวณการเกิดภัยพิบัติได้ แม้จะมีความพยายามมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เราก็ยังไม่สามารถล่วงรู้ความเคลื่อนไหวของ ฟ้า ดิน น้ำ อากาศได้เลย อย่างที่ปรชญ์โบราณกล่าวว่า คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต


ธรรมชาติมีทั้งแง่งามและร้ายแรง สรรพสิ่งย่อมมีสองด้านเสมอเห็นพระอาทิตย์เราก็อดคิดถึงพระจันทร์ไม่ได้ มีกลางวันและมีกลางคืน มีหญิงมีชาย มีซ้ายมีขวา ทุกสิ่งล้วนดี เพื่ช่วยเหลือเกื้อกูลพึ่งพาอาศัยให้สอดคล้องสมดุล นี่คือคุณค่าที่เราต้องเรียนรู้ ผ่านทางความทุกข์เราจึงค้นพบมรรคแห่งความสุขและการปล่อยวาง นิ่ง สงบ สันติสุข ย่อมเกิดตามมา


ความเศร้าโศกของคนญี่ปุ่นได้นำมาซึ่งความอาทรของคนทั่วทั้งโลก ความห่วงหา เมตตา ช่วยเหลือกันและกัน คือสิ่งที่ตอกย้ำความเป็นหนึ่งที่มีรากเง้ามาจาแหล่งรวมเดียวกัน เพียงแต่แตกหน่อ แตกรวง แตกแขนง แยกย้ายกันไป จนลืมเลือนว่าแท้จริงแล้ว เราล้วนเป็นพี่น้องสืบสายสัมพันธ์เดียวกัน แก่งแย่งแข่งขัน ช่วงชิงเอาเป็นเอาตายสุดท้ายเบื้องบนมอบบทเรียนความเจ็บปวดก็เพื่อตีสอนมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความยโส และความดื้อรั้นล้นเหลือควาอยากได้ใคร่มี แต่เรามักเจ็บแล้วไม่จำ...


หลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในโลกบ่อยขึ้น และรุนแรงมากขึ้น ว่าโลกถึงคราแตกดับ มองในด้านมุมแห่งการเรียนรู้คุณค่าของชีวิต ใช่หรือไม่ ตราบเมื่อมนุษย์ยังยโสโอหัง แย่งชิง เข่นฆ่า สร้างความทุกข์เข็ญ ให้สรรพสิ่งสร้างมากเท่าใด เราก็จะพบเจอกับ ฟ้า ดิน น้ำ พิโรธมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งอวดดีอวดเก่ง พัฒนาก้าวไกลโดยไร้การเหลียวแล ไร้การแยแส ไร้ความเมตตา ต่อสิ่งสร้าง ความรุนแรงในสิ่งสร้างก็จะมาหยุดความหยิ่งทะนงลง ความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงมันก็คือบทสอนที่พระผู้สร้างต้องการให้เราหยุด ตรองตรึกให้ลึกลงไปแห่งจิตวิญญาณความเป็นสิ่งสร้างอันประเสริฐ


เรารู้ว่าเราต้องการรักษาโลก แต่เราก็พูดกันแต่ปาก ไม่ได้ลงมือรักษ์โลก กลับทำลายล้างโลกอย่างไม่ใยดี ครั้นพอเกิดเรื่องร้ายๆต่างก็พูด ตรูว่าแล้ว ทำตัวเป็นผู้หยั่งรู้คำทำนายแม่นยำยามเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นแล้ว และที่แปลกคือโลกเราล้นเหลือไปด้วยคนหยั่งรู้ ไม่มีคนรู้ทำ มีมากมายหลายคนแอบอ้างวิเคราะห์เป็นฉากๆแล้วเมื่อเรื่องร้ายแรงผ่านไปก็กลับไปทำตัวเหมือนเดิม กลับไปเป็นผู้ทำลาย คนที่ ว่าแล้ว ยไปไหนกันหมดก็ไม่รู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทย...


ความทุกข์และโศกนาฏกรรมในญี่ปุ่นครั้งนี้ เราก็ได้เห็นแง่งามยามทุกข์ยากหลายอย่างเกิดขึ้น ความมีวินัย ความมีน้ำใจ ความเข้มแข็งอดทนของชาวญี่ปุ่นให้บทสอนอันใหญ่หลวงแก่ชาวโลก ความเมตตายามอดร้อน คอยช่วยเหลือกัน รู้จักที่จะเอื้ออาทร ไม่แย่งชิง รู้จักต่อคิวต่อแถวอย่างมีระเบีย รู้ว่าสิ่งไหนควรบอก ควรขอความช่วยเหลือ เราเห็นภาพเหตุการณ์แบบเกือบจะสดๆแต่เราแทบไม่เห็นภาพศพของผู้เสียชีวิตเลย เราทราบจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้สูญหายแค่นี้ก็เพียงพอสำหรับการรับรู้ข่าวสาร ไม่จำเป็นเลยที่ต้องถ่ายภาพศพที่วงเรียงรายตามไหล่ทาง เพื่อนำมานับให้เห็นกันแบบจะจะ เราไม่เห็นภาพคนแย่งชิงอาหารเพื่อจะเก็บตุนเอาไว้ แต่เราเห็นภาพการเข้าแถวรับสิ่งของและอาหารการกิน คนละอย่าง คนละชิ้น ทุกคนต้องการให้คนในชาติมีกินมีใช้เหมือนๆกันทั้งยามทุกข์และยามสุขเราเห็นภาพคนเข้าคิวซื้อน้ำมัน ไม่ได้ยินเสียงคบีบแตรไล่ให้เร็วๆการรอคอยอย่างอดทน คนไหนเดือดร้อนก็ให้ก่อน ใช้เท่าที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละวัน คนทั้งชาติร่วมมือกันเพื่อให้เหตุการณ์ภัยพิบัติผ่านไป ไร้ภัยจากความเห็นแก่ตัวที่ซ้ำเติมกัน นี่คือการพัฒนาคนและพัฒนาชาติ


เราเห็นเด็กๆจุดเทียน สวดภาวนาขอพรให้กับเหตุการณ์ร้ายแรงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราควรขอบคุณคนญี่ปุ่นที่สอนให้เราได้รู้เห็นคุณค่าของความอดทน คุณค่าของความเมตตาอาทรต่อกัน สิ่งที่เราจะทำได้ คือการร่วมกันสวดภาวนาส่งจิตใจส่งกำลังใจไปให้เพื่อนของเรา ให้กับพี่น้องร่วมโลกร่วมสาโลหิตงเรา ให้ผ่านคืนวันอันโหดร้ายไปได้ เพราะเชื่อว่าแรงภาวนาสำคัญพอกับสิ่งอำนวยความสะดวก ถึงแม้ว่าจะมีผู้ที่ไร้ควมเชื่อในจิตใจบอกว่า สวดไปก็เท่านั้น สู้ส่งเงินส่งสิ่งของไปให้เขามิดีกว่าหรือ ก็เพราะเราตกอยู่ในยุคทุนนิยม บริโภคนิยมจนเคยตัว เปรียบค่าทุกสรรพสิ่งด้วยมูลค่า ใช่หรือไม่ มีหลายสิ่งในโลกมิอาจจเทียบค่าได้เลยนั่น คือ ความเตตา ความรักที่ส่งผ่านให้กันด้วยแรงภาวนา วันนี้ก็ขอแรงนิ่งสงบจิตใจภาวนาขอให้ประเทศญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นผ่านพ้นคืนวันอันแสนโหดร้ายโดยเร็ววัน


ไม่มีความคิดเห็น: