วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

สู่รกราก


สู่รกราก


โลกเรากำลังเผชิญกับภาวะสุ่มเสี่ยงเหลือเกินทั้งจากภัยธรรมชาติ และภัยจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกันเองเป็นผู้ก่อ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิถล่มญี่ปุ่น นำความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงมาสู่มนุษย์ และยังส่งผลทำให้โรงงานผลิตไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์เกิดระเบิดขึ้น ก่อให้เกิดสารกัมมันภาพรังสีกระจายทั่วไป ต้องอพยพผู้คนออกห่างจากโรงงานเป็นสิบๆกิโล เพื่อให้ปลอดภัยจากรังสีนี้ที่มีอานุภาพ มีอันตรายอย่างสูง ประเทศญี่ปุ่นเคยถูกโจมตีด้วยระเบิดปรมาณนิวเคลียร์มาแล้วย่อมรู้ดีถึงอันตราย และแน่นอนสิ่งนี้นี่เองคนญี่ปุ่นจึงไม่ยอมให้ไปก่ออันตรายให้กับประชาชนและประเทศอื่น จึงได้พยายามอย่างที่สุดที่จะยับยั้งการรั่วไหลของรังสีนี่เป็นเรื่องที่หวาวิตกของมวลมนุษยโลก


และอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นคนละขั้วโลก แต่ก็ทำให้คนทั้งโลกสั่นสะท้านได้พอๆกับเหตุการณ์ในญี่ปุ่น นั่นคือ เหตุการณ์สู้รบในประเทศลิเบียริ่มจากประชาชนส่วนหนึ่งไม่พอใจการปกครองอันแสนยาวนานของผู้นำประเทศ จนนำไปสู่สงครามกลางเมืองไล่ล่ากันไปมาระหว่างฝ่ายปกครองกับฝ่ายต่อต้าน มีคนตายเป็นจำนวนมากและมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมีมติจากคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (ผู้ทำตัวเป็นตำรวจโลก) โดยมีประเทศพันธมิตร 6 ประเทศ ใช้ปฏิบัติการทางทหารเข้าแทรกแซง เพื่อระงับไม่ให้เกิดการฆ่าประชาชน แต่ก็ไม่รู้ว่าระเบิดที่สาด ที่ส่ง เป็นร้อยลูก เข้าสู่ฐานที่มั่นของฝ่ายปกครองลิเบียจะถูกประชาชนและมีคนตายกี่ร้อยคนประชาชนคนธรรมดาก็รับเคราะห์ไปในที่สุด มีอีกหลายชาติที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้เริ่มไม่พอใจ กล่าวหาว่าการกระทำเช่นนั้นเพียงหวังครอบครองน้ำมัน (ลิเบียถือว่าเป็นประเทศที่มีน้ำมันเป็นอันดับต้นๆของโลก) จนหลายฝ่ายวิตกไปถึงขั้นจะเกิดเป็นสงครามครั้งใหญ่อีกครั้งบนโลกนี้หรือไม่...


จากทั้งสองเหตุการณ์มีมุมเล็กที่สังเกตเห็นและอาจจะเป็นเป็นสัญญาณเตือนจิตใจเราได้เป็นอย่างดีในช่วงเทศกาลมหาพรตครั้งนี้ ใช่หรือไม่ ผู้คนจากต่างที่ต่างถิ่นที่เคยไปทำมาหากินทั้งในประเทศญี่ปุ่น และประเทศลิเบียและประเทศใกล้เคียง ต่างก็ต้องเดินทางกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน กลับสู่รกรากของตัวเอง เป็นเหมือนวาระเพื่อจัดระบบระเบียบ กลับคืนสู่รากเหง้าถิ่นเกิด ให้คนกลับมารักแผ่นดินถิ่นเกิด


ในภาษาไทยจะชัดเจนที่ใช้คำว่า รกราก เพราะในสมัยโบราณนั้นเชื่อกันว่า คนเราต้องรักแผ่นดินที่ฝังรกของเราไว้ ต้องปกปักรักษา หวงแหน เพราะเป็นแผ่นดินแม่ รกรากจึงเป็นคำที่ใช้สื่อว่า สถานที่ฝังรกนั้นเป็นเสมือนแผ่นดินรากฐานของคนๆนั้น


และเมื่อมามองในมุมของจิตวิญญาณ จากเหตุการณ์ต่างๆที่กำลังอุบัติขึ้นบนโลก ก็เป็นเครื่องเตือนใจเราว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องกลับคืนสู่รกราความเป็นคนที่สมบูรณ์รกรากของชีวิตคืออะไร เราเกิดมาเพื่ออะไร แก่นแท้รากเหง้าเรามาจากไหน วันนี้เราใยจึงเต็มล้นไปด้วยความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว จึงเต็มไปด้วยความโอ้อวด แท้จริงเราก็แค่กรวดทรายในจักรวาล


โลกกำลังพบวิกฤติทางอารมณ์ของผู้คน อารมณ์ที่มักโทษคนอื่น เป็นเหตุนำมาซึ่งความแตกแยกในระหว่างคน จนเพิ่มดีกรีสูงขึ้นเป็นระดับครอบครัว ระดับประเทศ อารมณ์ของคนที่เต็มไปด้วยความโลภ ร้อนรุ่มสุมทรวง เก็บสะสมเพื่อตัวเอง แล้วเมื่อล้นเมื่อเต็มก็ระเบิด ใช่เลย... ภาพที่กำลังปรากฏโรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ นั่นไงความร้อนรุ่มภายในที่เก็บกดไว้ไม่กลั่นกรองออกมา เมื่อระเบิดมันจึงมีอานุภาพที่ร้ายแรง คนบนโลกนี้มากมายที่เก็บเกี่ยว สะสม อารมณ์ความอยากได้ใคร่มี อารมณ์รอนรุ่มที่ต้องการอยากเป็นใหญ่เป็นโต อารมณ์มากล้นของคนที่ไม่ยอมรับผิดคิดจะชนะฝ่ายเดียว เมื่อรวมเอาอารมณ์ร้ายของคนบนโลกนี้มาไว้ด้วยกัน มันก็เข้าใกล้จุดระบิดเต็มที


วันเวลาเปลี่ยน คนยิ่งเปลี่ยน แต่สัจธรรมไม่เปลี่ยน ความชราได้มาฟรี แต่ความดีต้องทำต้องสร้าง จะใช้ชีวิตอย่างไรให้เกิดประโยชน์ที่สุด มีคนพูดกันว่า คนยุคนี้หลงวัตถุ นั่นยังไม่เท่าไหร่ ที่อันตรายกว่า คือ คนยุคนี้ หลงตัวเอง จนลืมรกรากที่แท้จริงแห่งชีวิตนี้ รกรากที่เริ่มต้นด้วยความดีงามของสรรพสิ่งสร้าง ความมีเมตา มีน้ำจิตน้ำใจต่อกัน การช่วยเหลือกัน ลึกลงไปในรากคือคนเราต้องมีหัวใจแห่งการรัก มองเห็นทุกสรรพสิ่งด้วยสายตาแห่งความรัก


บางคนบอกว่ามันสายไปแล้ว ยากเกินไปที่จะแก้ไขให้คนกลับมาเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยคุณงามความดี เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนอากาศธาตุมองไม่เห็น เล่น จับ ต้อง ไม่ได้ ( แต่มันสัมผัสได้ด้วยหัวใจ ) ไม่มีอะไรสาย ไม่มีอะไรยาก เริ่มที่ตัวเรา หากเริ่มตระหนักว่า เราเกิดมามีคุณค่า เริ่มสร้าง สะสมความดีวันละนิดวันละน้อย มันจะค่อยๆก่อเป็นกำแพงอันแข็งแกร่ง สู้แรงเสียดทาน แรงโน้มน้าวและแรงยั่วยุ จากวัตถุอันมีรูปสวยได้ ใช่หรือไม่ ทรัพย์สมบัติ เงินทองที่ดิ้นรนหากันมา วันหนึ่งเจอน้ำท่วม แผ่นดินไหว โจรปล้น สงคราม ทุกอย่างก็หายไปได้ แต่ความดีไม่มีใครทำลายลง นี่คือรกราก ที่เราต้องไม่ลืม และมั่นคืนกลับมาหาเสมอๆ เพื่อว่าเราจะได้กลับสู่อ้อมกอดพระบิดาอย่างมีคุณค่า แม้จะเป็นเพียงกรวดทราย แต่พระเจ้าทรงเลือกกรวดทรายที่รูปทรงสวยงามประดับอยู่ในขวดโหลอย่างงดงามเป็นประกายยามต้องแสง.....หรือเราจะเป็นเพียงเงินทองที่เมื่อถูกความร้อนก็หลอมละลายหายสาบสูญไป.....




ไม่มีความคิดเห็น: